กระ คืออะไร ?
กระ คือจุดด่างดำ ที่เกิดบนผิวหน้า หรือ ตามผิวกาย ในบริเวณลำคอ แขน ขา ซึ่งจะเป็นลักษณะจุดสีน้ำตาลอ่อนไปถึงน้ำตาลเข้ม เมื่อเป็นมากขึ้น อาจมีขนาดใหญ่ดูผิวเผินคล้ายปาน
กระ เกิดจากอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
กระ เกิดจากความผิดปกติ ของเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ที่สร้างเซลล์เมลาโนไซต์มากเกินไป ที่ใต้ชั้นผิวหนัง เมื่อผิวสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) เมลาโนไซต์จะเพิ่มการผลิตเมลานินเพื่อทำการปกป้องผิวจากความเสียหาย ทำให้เซลล์เม็ดสีเกิดการกระจุกรวมตัวกันมากกว่าปกติในบางจุด ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นมีสีคล้ำขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นกระ บริเวณที่กระขึ้น มักอยู่ที่จมูก โหนกแก้ม หรือตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ต้นแขน ต้นขา ซึ่งตัวการทำร้าย และ ทำลายผิวที่ก่อให้เกิดกระ มีดังนี้
-
ผิวหน้าเจอแสงแดด
แสงแดด ไม่เพียงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวคล้ำเสียเท่านั้น แต่เป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดกระได้ เนื่องจากเม็ดสีเมลานินจะผลิตขึ้นเพื่อทำหน้าที่กรองรังสียูวี หากผิวต้องเผชิญกับแสงแดดเป็นเวลานาน เมลานินก็จะถูกผลิตออกมามากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยรังสีที่ส่งผลให้เกิดฝ้าได้คือ รังสี UVA สำหรับสาวๆ ที่มีไลฟ์สไตล์ขาลุย ไม่กลัวแดด ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง การใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพดีและเหมาะสมกับกิจกรรมที่ทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ได้
-
ไม่ใช้ครีมบำรุง
สำหรับสาวสายชิลล์ที่มักจะละเลยการดูแลผิว หลายคนมักมองว่าปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ เป็นปัญหาผิววัย 30+ เท่านั้น ส่งผลให้ผิวหน้าไม่ได้รับการดูแลจนต่อยอดเป็นปัญหาผิวที่อาจสายเกินแก้ได้ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดฝ้าฝังลึกในอนาคต เราจึงควรหมั่นทาครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารไวท์เทนนิ่งที่ช่วยในการฟื้นฟูผิวจากความหมองคล้ำเป็นประจำตั้งแต่เนิ่นๆ
-
เครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ
เคลียร์งานจนดึก นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ปาร์ตี้ยันเช้า แต่ต้องตื่นไปทำงานแบบไม่มีหยุดพัก พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนทำให้สาวๆ เกิดความเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลเสียต่อทั้งร่างกายและอารมณ์จนเกิดเป็นความเครียดได้ ซึ่งความเครียดมีผลทำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นภายในร่างกาย เร่งการหลั่งเม็ดสีเมลานินออกมามากกว่าปกติ ทำให้ปัญหากระ จุดด่างดำตามมา
-
ใช้ครีมไวท์เทนนิ่งที่ไม่มีประสิทธิภาพ
การใช้ครีมไวท์เทนนิ่งเพื่อช่วยฟื้นบำรุงผิวหน้าเป็นอีกหนึ่งแนวทางการดูแลปัญหากระได้ด้วยตัวเอง ซึ่งผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งในปัจจุบันมีให้เลือกมากมาย แต่มีกลไกการทำงานและให้ประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน ด้วยเกิดจากสารสำคัญที่เป็นส่วนผสมหลักนั้นมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ซึ่งครีมไวท์เทนนิ่งส่วนมากที่พบในท้องตลาดทั่วไป มักมีกลไกในการดูแลเฉพาะผิวชั้นนอก เช่น การผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้ แต่ไม่ได้ลงลึกจัดการกับต้นตอของสาเหตุที่ทำให้เกิดเม็ดสีเมลานิน ทำให้ปัญหากระ จุดด่างดำยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง
ชนิดของกระ
-
กระตื้น (Freckle)
จุดสีน้ำตาลเล็กๆ มักพบบริเวณโหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง หรือ จมูก โดยสาเหตุที่เซลล์ทำงานผิดปกตินั้น ส่วนใหญ่มาจากพันธุกรรม บางคนเป็นกระ ตั้งแต่อายุน้อย เพราะเซลล์เม็ดสีมีความไวต่อแสง หากโดนแสงแดดบ่อยๆ หากไม่ป้องกันให้เต็มที่ กระ จะมีสีเข้มข้น จำนวนเพิ่มขึ้น และขนาดใหญ่ขึ้นอีกด้วย
-
กระลึก (Lentigines)
จุดเล็กๆ หรือ แผ่นสีน้ำตาลไปจนถึงสีเทาดำ มองเผินๆ จะมีลักษณะคล้ายปานหรือฝ้า มักพบบริเวณขมับ จมูก และโหนกแก้ม โดยสาเหตุ กระลึก เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดสี ในชั้นหนังแท้ ซึ่งพบตั้งแต่แรกเกิด และจะถูกกระตุ้นโดยรังสี UV จากแสงแดด นอกจากนี้เรื่องของฮอร์โมนก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยทั้งอายุที่เพิ่มขึ้นหรือในช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ กระลึกนั้นอาจยิ่งมีสีเข้มชัดขึ้นได้
-
กระเนื้อ (Seborrheic Keratosis)
ตุ่มเล็กๆ สีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม มักพบในบริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าคอ หน้าอกและหลัง มีลักษณะเป็นก้อนนูนขึ้นมาจากผิว มีขนาดเล็ก มีทั้งแบบผิวเรียบและผิวขรุขระ ตุ่มเล็กๆ นั้นมีโอกาสจะขยายใหญ่ขึ้นและมีสีเข้มขึ้นได้ โดยสาเหตุการเกิด กระเนื้อ คือ ผิวหนังชั้นกำพร้าเจริญมากขึ้นผิดปกติ โดยแสงแดดและอายุที่มากขึ้น คือ ตัวกระตุ้นให้กระเนื้อมีขนาดใหญ่ และ จำนวนมากขึ้นนั่นเอง
-
กระแดด (Solar lentigines)
เป็นจุด หรือ ปื้นเรียบๆ สีน้ำตาลหรือสีดำ ขนาดไม่เกิน 1 เซนติเมตร มีขอบชัดกว่ากระอื่นๆ มักพบในบริเวณที่โดนแดดบ่อยๆ เช่น บริเวณใบหน้า อาจจะเป็นโหนกแก้มที่ รับแสงแดดกว่าจุดอื่น หรือ แขน ขา ที่ไม่ได้รับการทาครีมปกป้องแดด ส่วนใหญ่จะเป็นกับผู้ที่มีผิวขาวและอายุมาก
วิธีดูแลรักษากระ ให้ได้ผล
-
การใช้เลเซอร์รักษา
ช่วยทำลายเม็ดสีเมลานินโดยเฉพาะ ทำให้เม็ดสีแตกกระจายออก ส่งผลให้เม็ดเลือดขาวกลับมาเก็บกินเม็ดสีที่แตกและสลายไป ผลลัพธ์ที่ได้คือสีของกระแลดูจางลง มักใช้รักษากระตื้น กระลึก และ กระแดด แต่เวลาในการเข้ารักษาจะมากน้อยแตกต่างกันไปตามอาการ
-
ใช้สกินแคร์ลดปัญหาฝ้า กระ และจุดด่างดำ
วิธีนี้คล้ายๆ กับการทำทรีทเมนต์หน้าที่คลีนิกแต่เป็นการผลักครีมบำรุงหน้าเข้าผิวหน้าในทุกๆวัน สามารถทาเป็นประจำเพื่อบำรุงผิวและป้องกันการเกิดใหม่ได้เป็นอย่างดี
-
ใช้ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิว
ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง (30 หรือสูงกว่า) ให้ทั่วบริเวณผิวทั้งหมด 15-20 นาที ก่อนออกไปข้างนอก ทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง หากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง ออกแดดเป็นเวลานาน หรือหลังจากว่ายน้ำ / เหงื่อออก
-
ป้องกันผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV)
สวมชุดมิดชิดเพื่อป้องกันรังสี UV เช่น เสื้อแขนยาว กางเกง หมวกปีกกว้าง และ แว่นกันแดด ในขณะออกแดด
-
หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่แสงแดดมีความเข้มข้นสูง
หาที่ร่ม ในช่วงเวลาที่มีแสงแดดจ้า (10.00 น. ถึง 16.00 น.) และใช้ร่ม เพื่อเพิ่มการป้องกันผิวจากแสงแดด
-
ทานอาหารที่มีประโยชน์
บริโภคอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารด้วยอาหารที่มีวิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีนสูง เพื่อปรับสมดุลสุขภาพและเพิ่มการฟื้นฟูผิว
-
การรักษาด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยในการรักษากระ
a. เรตินอยด์ : อนุพันธ์ของวิตามินเอ ที่มีความแข็งแรง ที่สามารถช่วยให้ฝ้า กระ จางลง โดยส่งเสริมการผลัดเซลล์ ควรใช้ตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น เนื่องจากมีผลข้างเคียง
b. ไฮโดรควิโนน : สารปรับสีผิวที่ลดการสร้างเมลานิน ทำให้ฝ้ากระจางลง
c. กรดไกลโคลิก : กรดอัลฟ่าไฮดรอกซีที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ช่วยลดรอยกระ
-
การบำบัดด้วยความเย็น (Cyrotherapy)
การใช้ความเย็นจัด (Cyrotherapy) เพื่อทำลายเซลล์ที่สร้างเม็ดสีเมลานินในฝ้ากระ ซึ่งนำไปสู่การจางลงในที่สุด
-
การลอกผิวด้วยสารเคมี
การใช้สารละลายที่มีความเป็นกรดกับผิวหนัง เพื่อกำจัดเซลล์ผิวหนังชั้นบนสุด และให้ผิวหนังฟื้นฟูตัวเองใหม่ และ มีสีผิวสม่ำเสมอขึ้น วิธีนี้ควรให้แพทย์ผิวหนังเป็นคนทำการรักษา เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบและผลข้างเคียง
- การขัดผิว
ใช้เครื่องขัดผิว ชั้นบนสุด ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เป็นกระ ทำให้ดูจางลงเมื่อเวลาผ่านไป และ เซลล์ผิวใหม่ฟื้นฟูขึ้นมาแทนที่
กระ ที่เกิดในเด็กและวัยรุ่น
ในเด็กบางคน กระ ปรากฏบนผิวหน้า ตั้งแต่ในวัยเด็ก และอาจเด่นชัดขึ้นในช่วงวัยแรกรุ่น เนื่องจาก การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ที่กระตุ้นเซลล์เมลาโนไซต์ให้ผลิตเมลานินออกมามากผิดปกติ การดูแลกระในเด็ก ผู้ปกครองควรให้ความรู้แก่บุตรหลาน ในเรื่องความสำคัญของการป้องกันตัวเองจากแสงแดดตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจาก ผิวหนังมีความเสี่ยงต่อการถูกทำลายจากแสงแดดเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการสอนให้ทาครีมกันแดด สวมชุดป้องกัน และหาที่ร่มในช่วงเวลาที่มีแสงแดดจ้า
กระ ที่เกิดในผู้ที่มีอายุมาก
เมื่ออายุมากขึ้น ลักษณะ และ การกระจายของกระ อาจเปลี่ยนไป กระบางส่วนอาจจางลง ในขณะที่บางส่วนอาจเห็นชัดขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง ตามอายุ เช่น ผิวบางลง และการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ อาจส่งผลต่อความเข้ม และลักษณะของกระ เพื่อป้องกันการเกิดกระ ในผู้สูงอายุ ควรจะต้องมีนิสัยในการดูแลผิวที่ดี รวมทั้งการป้องกันแสงแดด ความชุ่มชื้น และการรับประทานอาหารที่สมดุล การรักษาเฉพาะที่ เช่น เรตินอยด์ การรักษาด้วยเลเซอร์ อาจช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังตามอายุและช่วยรักษาผิวให้อ่อนเยาว์ขึ้นได้
วิธีรักษากระ 10 สูตรมาส์กหน้า แบบธรรมชาติ
1. สูตรว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้ มีการใช้เป็นพันๆปี สำหรับโรคผิวหนังต่างๆ ด้วยสรรพคุณที่ให้มากกว่าความชุ่มชื้น ผ่านกรดอ่อน ๆ ของเนื้อว่านหางจระเข้ จึงสามารถช่วยรักษาได้ทั้งสิว และช่วยยับยั้งการติดเชื้อของการเกิดสิว นอกจากนี้ยังช่วยลดความมันบนใบหน้าอีกด้วย
ขั้นตอน
- ปอกเปลือกว่างหางจระเข้ให้หมด พร้อมล้างน้ำเปล่าให้สะอาด
- นำเนื้อที่ได้ไปปั่นหรือบดจนละเอียด 2-3 ช้อนโต๊ะ + น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
- พอกหน้าทิ้งไว้ ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที ทำเป็นประจำประมาณสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
แนะนำ : ทำสูตรนี้ทุกวัน เช้า-เย็น จะสังเกตุได้เลยว่ารอยดำฝ้า กระ จุดด่างดำ ค่อยๆจางลง
2. สูตรมะละกอ
มะละกอ มีเอนไซม์ปาเปน แคโรทีน วิตามินซี และสารพาเพน (Papain) อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีคุณสมบัติที่ดีต่อการกระตุ้นการผลัดเซลล์ของผิว ทำให้เซลล์ผิวที่เสื่อมโทรมหรือเซลล์ที่ตายแล้วหลุดออกไป ทั้งยังกระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ที่สมบูรณ์ขึ้นมาแทน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มะละกอกลายเป็นหนึ่งในวิธีรักษากระและฝ้า ที่ช่วยบำรุงผิวหน้าให้อ่อนเยาว์ได้ในตัว
ขั้นตอน
- นำมะละกอสุกมาบดหรือปั่นจนละเอียด 1/3 ลูก
- ผสม น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา + น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
- พอกบนผิวหน้าไว้ประมาณ 15-20 นาที
- ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด อุณหภูมิไม่ร้อน ไม่เย็นเกินไป
แนะนำ : ควรทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ทำต่อเนื่องกันหลายเดือน เพื่อเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่าง
3. สูตรมะขามเปียก
มะขามเปียก มี AHA และวิตามินซี ที่มีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิวหมองคล้ำ ลดการเกิดรอยดำฝ้า กระ ลดรอยสิว รวมถึงช่วยทำความสะอาดสิ่งอุดตันในรูขุมขน ลดความมัน และลดการเกิดสิวได้ดี เพื่อช่วยเผยความกระจ่างใสจากเซลล์เกิดใหม่ หนึ่งในขั้นตอนยอดนิยมสำหรับวิธีรักษาฝ้าและกระ รวมถึงรอยด่างดำ
ขั้นตอน
- คั้นน้ำมะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำจืดเพื่อเจือจางกรด
- ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เป็นครีม
- พอกหน้าทิ้งไว้เป็นเวลา 15-20 นาที
- ล้างน้ำสะอาด และใช้ผ้าซับหน้าจนแห้งสนิท
แนะนำ : สำหรับช่วงเวลาเช้า – บ่าย ไม่ควรออกแดดทันที ควรทาครีมบำรุงและครีมกันแดดทันที เพราะมะนาวมีกรด AHA ทำให้ไวต่อแสงแดดได้ ทางที่ดีควรพอกหน้าช่วงเวลาตอนเย็นหรือก่อนนอน
4. สูตรใบบัวบก
ใบบัวบก มีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์ใหม่ให้แข็งแรงขึ้น พร้อมทั้งช่วยในเรื่องระบบไหลเวียนเลือด มีสรรพคุณสำคัญที่ช่วยรักษาอาการเกี่ยวกับโรคผิวหนัง ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ ตลอดจนฝ้า กระ และสิวได้เป็นอย่างดี พร้อมต่อสู้กับความเสียหายที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระ อาทิ ผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำต่าง ๆ อีกทั้งยังสามารถปลอบประโลมผิวที่ระคายเคืองจากการทำลายของแสงแดดได้อีกด้วย
ขั้นตอน
- นำใบบัวบก 1 มือ มาล้างให้สะอาด ผสมน้ำสะอาด 1 ถ้วย และปั่นจนละเอียด
- คั้นน้ำใบบัวบก กรองเอากากออกจนหมด
- ใช้สำลีชุบจนชุ่ม และใช้มาส์กบนใบหน้าประมาณ 15-20 นาที
- ลูบเช็ดตามแนวรูขุมขนเป็นอันเรียบร้อย
แนะนำ : ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือทำทุกวันที่ต้องการ เท่านี้ก็จะช่วยลดรอยฝ้าได้ดี
5. สูตรแอปเปิลไซเดอร์
แอปเปิ้ลไซเดอร์มีคุณสมบัติเป็นกรดอะซิติก ทำหน้าที่เป็นสารฟอกขาวธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาฝ้า กระ พร้อมกำจัดจุดด่างดำได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยให้ผิวกลับมาเรียบเนียน กระจ่างใสได้อีกด้วย
ขั้นตอน
- ผสมแอปเปิ้ลไซเดอร์ และ น้ำหรือน้ำผึ้ง ในอัตราส่วน 1:1
- ทาบริเวณผิวหน้าที่เป็นฝ้า กระ หรือมีจุดด่างดำ
- ปล่อยให้แห้ง ก่อนจะล้างออกด้วยน้ำอุ่น
- ซับหน้าเบา ๆ ด้วยผ้าขนนิ่ม
แนะนำ : ใช้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เวลาประมาน 6 สัปดาห์ด้วยกัน จึงจะเห็นผลัพธ์ที่แตกต่าง
6. สูตรไข่ขาว
ไข่ขาว อีกหนึ่งวัตถุดิบที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่มองหาวิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ เพราะในไข่ขาวอุดมไปด้วยโปรตีน ที่มีส่วนช่วยในการทำความสะอาดผิวหน้า พร้อมช่วยดูดซับสิ่งสกปรกตามรูขุมขน และลอกเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วให้ออกไปได้อย่างหมดจด นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอสูง จึงช่วยบำรุง และเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวเก่าได้เป็นอย่างดี
ขั้นตอน
- ตอกไข่ 2 ฟอง ใส่ถ้วย ช้อนไข่แดงออกอย่างระมัดระวัง
- ทาไข่ขาวให้ทั่วบริเวณใบหน้า พร้อมพอกทิ้งไว้เป็นเวลา 10-15 นาที
- ใช้สำลีชุบน้ำอุ่น เช็ดทั่วใบหน้าจนกว่าไข่ขาวจะหมด
- ล้างด้วยน้ำเย็น พร้อมโฟมสูตรที่ใช้ปกติ
- เช็ดหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนนิ่ม
7. สูตรหัวไชเท้า
หัวไชเท้า มีส่วนประกอบของสารไกลโคไซ ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ช่วยในเรื่อยลดรอยดำอย่างฝ้า กระ จุดด่างดำได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอักเสบ จากสิว ทำให้สิวยุบ และแห้งตัวไวขึ้น พร้อมกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยชำระล้างไขมันภายในรูขุมขน ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ให้ผิวหน้าแลดูอ่อนเยาว์ ผิวหน้าแข็งแรงขึ้น
ขั้นตอน
- น้ำหัวไชเท้าแช่เย็น 3 ช้อนโต๊ะ
- ผสมหัวไชเท้าดินสองพอง 1 เม็ด + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมเป็นเนื้อครีม
- พอกหน้า 15-20 นาที ครบตามเวลาแล้วล้างออกให้สะอาด
แนะนำ : หัวไชเท้าสดมีฤทธิ์แสบร้อน หากนำหัวไชเท้ามาพอกสดๆอาจไม่เหมาะกับผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่ายแน่นอน แต่สำหรับใครที่ใช้ได้ก็จะเห็นผลชัดเจนเลยว่ารอยฝ้าจางลงได้จริง
8. สูตรมะนาว
มะนาว มีกรดซิดตริก ที่เหมือนสารฟอกสีผิวให้กระจ่างใสมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมีกรด AHA และ วิตามินซี ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่า ลดลอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิว พร้อมช่วยกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ ให้ขาวใสมากยิ่งขึ้น แถมยังช่วยลดความมัน ลดการเกิดสิว และกระชับรูขุมขนได้ดี
ขั้นตอน
- น้ำมะนาว 2 ลูก + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน
- แล้วพอกหน้า 15-20 นาที
- ล้างออกให้สะอาด
แนะนำ : สำหรับช่วงเวลาเช้า – บ่าย ไม่ควรออกแดดทันที ควรทาครีมบำรุงและครีมกันแดดทันที เพราะมะนาวมีกรด AHA ทำให้ไวต่อแสงแดดได้ ทางที่ดีควรพอกหน้าช่วงเวลาตอนเย็นหรือก่อนนอน
8. สูตรหอมแดง
ในหอมแดง มีฤทธิ์ช่วยลดรอยฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิว เพราะมีสารกำมะถัน วิตามินซี ที่ช่วยลดรอยดำ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ผลัดเซลล์ผิวหมอง ปรับสิวผิวบริเวณนั้นๆให้กระจ่างใส พร้อมลดอาการอักเสบจากสิวได้ดี
ขั้นตอน
- ฝานหอมแดง เป็นแผ่นบางๆ ล้างน้ำ
- แปะที่รอยฝ้า วางฟอกทิ้งไว้ 10 นาที
- ล้างออกให้สะอาด
แนะนำ : หอมแดงมีกำมะถัน ทำให้แสบตา หรือแสบผิวได้ จึงควรฝาน แล้วแช่ให้เย็นก่อนใช้ เพื่อลดอาการแสบจากหอมแดง
9. สูตรใบกระเพา
ใบกระเพรา มี แคลเซียม และฟอสฟอรัส และวิตามินซี ที่มีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดรอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิวได้
ขั้นตอน
- เด็ดใบกะเพรา เอาเฉพาะใบ นำไปตากแห้ง
- นำใบกระเพาที่แห้งแล้วป่น 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำอุ่น 1 ถ้วย ผสมให้เข้ากัน
- ใช้สำลีชุบน้ำที่ได้ ทาบริเวณที่เป็นกระ ทิ้งไว้ให้แห้ง
- ล้างออกให้สะอาด
แนะนำ : ควรทำทุกวัน เช้า-เย็น เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
10. สูตรขมิ้นชัน
ขมิ้น อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และเกลือแร่ต่างๆ ที่มีสรรพคุณทางยาที่รักษาอาการและโรคได้หลายชนิด โดยเฉพาะรักษาโรคเกี่ยวกับผิวหนังอย่าง สิว ฝ้า กระ กราก เกลื้อน และแผลต่างๆ
ขั้นตอน
- นำผงขมิ้นชัน 1 ช้อนชา + น้ำมะนาวสด ครึ่งช้อนชา + นมสด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน
- นำมาพอกหน้า หรือ นวดจุดที่มีรอยดำ 15 นาที ขึ้นไป หรือทิ้งไว้จนแห้ง
- ล้างออกด้วยน้ำอุ่น กระชับผิวด้วยน้ำเย็น
แนะนำ : สูตรนี้สามารถทำได้ทุกวัน เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ควรทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง