ฉีดฟิลเลอร์ปาก (Lip Filler) ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก

ฉีดฟิลเลอร์ปาก เซ็กซี่แบบธรรมชาติ ทรงปากแบบไหนที่เหมาะกับคนไทยมากที่สุด

สำหรับคนที่มีริมฝีปากบาง ปากแห้ง เริ่มมีริ้วรอยที่ริมฝีปากและขอบปาก ทำให้เวลาที่ทาลิปสติกแล้วเนื้อลิปสติกตกร่อง ฟิลเลอร์ปาก สามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้โดยตรง ทำให้ปากกลับมาชุ่มชื้น เรียบเนียน หรือในกรณีที่ต้องการให้ริมฝีปากอวบอิ่ม ขอบปากชัด เป็นทรงสวย ก็สามารถฉีดฟิลเลอร์ขอบปาก ยกมุมปาก เพิ่มเนื้อปากให้ดูเซ็กซี่ มีเสน่ห์และเป็นทรงกระจับได้


ฉีดฟิลเลอร์ปาก (Lip Filler) คืออะไร?

การฉีดฟิลเลอร์ปาก (Lip Filler) คือการฉีดสารประเภทไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid : HA) ที่มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ เข้าที่ริมฝีปาก ซึ่งฟิลเลอร์ เพื่อฉีดที่ปากหรือที่ใบหน้าจะฉีดเข้าที่ใต้ผิวหนังตื้นๆเท่านั้น จึงเรียกว่า “Dermal Fillers” นิยมใช้ฉีดเพื่อให้ริมฝีปากเพื่อเพิ่มเนื้อและปรับขนาดโครงสร้างปาก ให้ปากอวบอิ่มขึ้น แก้ปัญหาปากบาง ปากแห้งลอก ปากไม่เป็นรูปให้สมดุล เป็นรูปทรงที่สวยงาม นอกจากการเพิ่มความอวบอิ่ม ฟิลเลอร์ปากสามารถแก้ปัญหารูปปากคว่ำ ดูหน้าบึ้ง ให้กลับมาดูยิ้มแย้มสดใสขึ้น ด้วยเทคนิคฉีดฟิลเลอร์ยกมุมปาก ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ปากหลังฉีดสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงทันที ไม่ต้องพักฟื้น เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัย และช่วยแก้ไขปัญหาได้หลากหลาย ซึ่งสารที่ใช้ฉีดเป็นฟิลเลอร์จะมีหลากหลายชนิด สามารถแบ่งเป็นประเภทของฟิลเลอร์ตามสารที่ฉีดได้ 3 ประเภท ได้แก่

  • Temporary Dermal Fillers คือ ฟิลเลอร์ชนิดชั่วคราว สารที่ใช้ฉีดจะเป็นสารที่ร่างกายสามารถสลายออกไปเองได้ ในช่วงประมาณ 6 – 18 เดือน หรือสามารถฉีดสารอีกตัวเข้าไปเพื่อสลายฟิลเลอร์ได้ จึงเป็นฟิลเลอร์ปากที่ปลอดภัยมากที่สุด แต่ก็มีข้อเสียคือต้องหมั่นฉีดทุกปี ผลของการฉีดไม่ได้อยู่อย่างถาวร สารที่ใช้ฉีดเป็นฟิลเลอร์ชนิดชั่วคราว ตัวอย่างเช่น กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic acid), คอลลาเจน (Collagen), แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxylapatite) เป็นต้น แต่ฟิลเลอร์ตัวอื่นๆ นอกเหนือจากฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิค ยังไม่ผ่าน อย. ไทยในปัจจุบัน
  • Semi-Permanent Dermal Fillers คือ ฟิลเลอร์ชนิดกึ่งถาวร ที่สลายไปเองได้เช่นเดียวกับชนิดชั่วคราว แต่ต้องใช้เวลานานประมาณ 2 ปีขึ้นไป เนื้อแข็งกว่า เหมาะกับการเติมร่องที่ค่อนข้างลึกและต้องการให้คงรูป ผลการฉีดอยู่ได้นานกว่า แต่ก็อันตรายกว่าแบบชั่วคราว สารที่ใช้ฉีด เช่น โพลีแลคติคแอซิด (Poly Lactic Acid), และโพลีอัลคิลลิไมด์ (Polyalkylimide) ซึ่งฟิลเลอร์กึ่งถาวรเหล่านี้ ไม่ผ่านการรับรองจาก อย. เนื่องจากมีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างอันตราย
  • Permanent Dermal Fillers คือ ฟิลเลอร์ชนิดถาวร เป็นชนิดที่แข็งตัวมากที่สุด ใช้เติมร่องลึก และจะคงอยู่ในผิวหน้าไปตลอด ไม่สามารถสลายได้ ผลการฉีดอยู่อย่างถาวร มีข้อเสียคือสารที่ฉีดจะไม่ปรับตามผิวหน้าที่เปลี่ยนไปตามอายุ ทำให้อาจเห็นเป็นก้อน และไม่สามารถฉีดสลายได้ ตัวอย่างสารที่ฉีด เช่น โพลีเมทิลเมทาคริลิค (Polymethylmethacrylate หรือ PMMA) แต่ไม่ผ่านการรับรองจาก อย. ไทย จึงไม่สามารถหาฉีดได้

ทำไมถึงต้องฉีดฟิลเลอร์ที่ปาก? ฉีดฟิลเลอร์ปากช่วยในเรื่องอะไรบ้าง?

เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตสารบางตัวได้ลดลง อย่างเช่นคอลลาเจน กรดไฮยาลูรอนิค หรือไฟเบอร์ต่างๆ ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อย ที่ผิวหนังบริเวณปากก็เช่นกัน เมื่ออายุมากขึ้น ผิวไม่เต่งตึง ริมฝีปากบางลง ปากแห้งได้ง่ายขึ้น ผิวหนังอุ้มน้ำได้น้อยลงจนย่นเป็นร่อง แห้งลอกเป็นขุย ส่งผลให้ปากดูสุขภาพไม่ดี และทำให้ดูอายุมากขึ้นด้วย ซึ่งปัญหาดังกล่าวสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ที่เป็นกรดไฮยาลูรอนิคจะทำให้ปากกลับมาเต่งตึง ร่องลึกที่ริมฝีปากหายไป ขอบปากชัดขึ้น และช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้นขึ้น นอกจากแก้ไขปากหย่อนเป็นร่องแล้ว ยังสามารถใช้เพื่อปรับทรงปากให้ได้รูปที่ต้องการมากขึ้นได้ อย่างการฉีดปากให้อวบอิ่ม การทำปากกระจับ หรือฉีดยกมุมปาก ช่วยสร้างความสวยงาม เพิ่มความมั่นใจให้ผู้เข้ารับการรักษาได้ ทั้งนี้ผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์ปาก จะต้องมีความเข้าใจเรื่องฟิลเลอร์ในระดับหนึ่ง  และต้องคาดหวังผลลัพธ์อย่างเหมาะสม เนื่องจากฟิลเลอร์ไม่สามารถแก้ไขทรงปากได้ในทุกกรณี หากลักษณะทรงปากเดิมไม่เอื้อให้แก้ไขเป็นทรงใหม่ หรือมีพังผืดที่ตึงรั้งบริเวณริมฝีปาก ก็อาจจะไม่สามารถทำให้ปากเป็นไปตามทรงที่ต้องการได้

  • ทรงปากสวยงามมากขึ้น แก้ไขทรงปากให้สมมาตร หรือ เปลี่ยนทรงปากเดิม อย่างฉีดปากกระจับ ฉีดปากสายฝอ และยกมุมฉีดปากเกาหลี หรือทรงอื่นๆ ตามต้องการ
  • ปรับขนาดริมฝีปากให้หนาขึ้น ในกรณีที่ปากเดิมบางอยู่แล้ว หรือปากบางลงตามอายุที่มากขึ้น
  • ทำปากทรงกระจับได้โดยไม่ต้องผ่าตัดปากที่เสี่ยงเกิดพังผืดและรอยแผลเป็น ทั้งยังหายช้ากว่าการฉีดฟิลเลอร์มาก
  • ขอบปากชัดขึ้น
  • ริมฝีปากเต่งตึง เรียบเนียน อิ่มน้ำ

รูปทรงฟิลเลอร์ปากที่เหมาะกับคนไทย

เนื่องจากเทรนด์ความนิยมเกี่ยวกับรูปทรงปากในขณะนี้ คือ ปากสายฝอ ปากหนาแบบตะวันตก ปัญหาที่พบบ่อยคือคนไข้คนไทยมักนำภาพของดาราฝรั่งที่ริมฝีปากอวบอิ่มมาใช้เป็นตัวอย่าง ฟิลเลอร์ปาก ในกรณีนี้หมอจะพยายามอธิบายให้คนไข้เข้าใจว่า โครงหน้าของฝรั่งนั้นจะชัดกว่าคนไทย ทั้งคิ้วเด่น ตาโต จมูกโด่ง คางยาว ซึ่งกรณีนี้ควรมีริมฝีปากอวบอิ่มและหนามาก ๆ จะดูมีเสน่ห์มาก แต่ถ้าโครงหน้าแบบคนไทยส่วนมากจะไม่รับกับริมฝีปากแบบดาราฝรั่ง ควรใช้ตัวอย่างริมฝีปากที่เป็นคนเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และมีโครงหน้าในจุดอื่น ๆ ใกล้เคียงกับคนไข้ด้วย ผลที่ได้จึงจะออกมาดูเป็นธรรมชาติที่สุด สไตล์ทรงปากที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย ได้แก่

  • Sexy KYSSE : ทรงปากสายฝอ เพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปากทั้งบนและล่างในสัดส่วน 1:1
  • Cherry KYSSE : ทรงปากกระจับ ริมฝีปากล่างอวบอิ่ม สไลต์เกาหลี คล้ายผลเชอร์รี่
  • Classy KYSSE : เพิ่มความชุ่มชื้นให้ริมฝีปาก อวบอิ่ม ดูสุขภาพดี กลบร่องบนริมฝีปากให้ตื้นขึ้น

สัดส่วนปากบนใบหน้า ของคนไข้

  1. ขนาดของริมฝีปาก บน:ล่าง ที่เหมาะสมคือ 1:1.618
  2. เมื่อมองด้านข้างแล้วลากเส้นจากปลายจมูกลงมาที่คาง ริมฝีปากล่างควรจะแตะเส้นนี้พอดี ส่วนริมฝีปากบนควรจะห่างจากเส้นนี้ 2 mm
  3. เนื้อริมฝีปากล่างไม่ควรใหญ่เกินขอบเขตของยอดตัว M ของริมฝีปากบน
  4. มุมปากควรยกขึ้น ไม่ทิ่มลง
  5. เนื้อปากควรอิ่มเรียบเนียน ไม่มีริ้วรอย
  6. ขอบรอยต่อระหว่างริมฝีปากกับผิวปกติ ไม่มีริ้วรอย

โหงวเฮ้งปาก ที่ดี – ไม่ดี ดูอย่างไร ?

โหงวเฮ้ง (Mien Shiang) คือ ศาสตร์ของการทำนายคุณสมบัติคนจากรูปลักษณ์ภายนอก (Chinese Physiognomy) โดยเฉพาะหน้าตา มีในหลายประเทศทั่วโลก นับตั้งแต่ในยุคโบราณ สำหรับโหงวเฮ้งปาก-โหงวเฮ้งริมฝีปาก (จุ้ยแซ) เป็นอีกส่วนบนใบหน้าที่มีความสำคัญ เพราะถือเป็นจุดศูนย์รวมในการพิจารณาสภาพจิตใจและสุขภาพโดยรวม สะท้อนเจตนาและกำลังกาย รวมถึงริมฝีปาก ยังบ่งบอกเรื่องของความสัมพันธ์กับคนอื่น การพูด การเจรจา

ลักษณะเด่น ขนาดของปากที่ได้มาตรฐาน ลากเส้นจากกึ่งกลางลูกตาดำขณะมองตรง มาจนถึงมุมปากทั้ง 2 ข้าง หากกว้างเสมอกึ่งกลางลูกตาดำทั้ง 2 ข้าง พอดีถือว่าปากกว้าง ปากที่มีลักษณะดี ต้องมีขอบ มีหยัก มุมปากทั้ง 2 ข้าง ตรงหรือช้อนขึ้นเล็กน้อยและได้รูปเหมาะสมกับขนาดของใบหน้า

  • ริมฝีปากกว้าง เจ้าตัวสามารถทำงานใหญ่ได้ดี ชายวาสนาดี มีคู่ให้ความช่วยเหลืออุปถัมภ์ กระตือรือร้นสูง มีความซื่อสัตย์ กล้าคิดกล้าทำ ตำแหน่งงานดี เจริญดี ทำงานใหญ่สำเร็จ หญิงหัวแข็งไม่ยอมใคร หากินเก่งกว่าชาย ไม่ชอบจำเรื่องในอดีต
  • ริมฝีปากบนหนา จะเป็นผู้ให้ พูดตรง ซื่อสัตย์ ถ้าเป็นหญิงอาภัพคู่

ลักษณะด้อย ปากบางเฉียบ ชายจะมีเล่ห์เหลี่ยมเฉือนคมได้อย่างนิ่มนวล เจรจาคล่องแคล่ว ไม่อดทน ไม่แยแสเรื่องความรัก หญิง พูดแต่เรื่องไม่สร้างสรรค์ ชอบนินทาว่าร้าย โกหก เถียงเก่ง ขี้งอน มองโลกในแง่ร้าย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มีบุตรยาก หากมีบุตรจะไม่แข็งแรง เลี้ยงยาก

“ปากที่มีลักษณะดี ต้องมีขอบ มีหยัก มุมปาก ทั้ง 2 ข้าง ตรงหรือช้อนขึ้นเล็กน้อย และได้รูป เหมาะสมกับ ขนาดของใบหน้า”


ฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ อวบอิ่ม ใช้กี่ cc ? ต่างกันอย่างไร?

โดยทั่วไป ฉีดฟิลเลอร์ปาก 1 cc ก็เพียงพอสำหรับเติมปากให้สวยงาม ยกเว้นในบางเคสที่ต้องการเพิ่มวอลลุ่มมาก ๆ อาจจะต้องใช้ 2 cc เพื่อให้ปากเต็มอวบอิ่ม โดยหมอจะช่วยประเมินก่อน และแนะนำปริมาณที่เหมาะสมให้เป็นรายบุคคลไปครับ ความแตกต่างระหว่างฉีดฟิลเลอร์ปาก 1 cc กับ 2 cc จะต่างกันที่ความหนาของริมฝีปากหลังฉีด โดยปกติแล้ว แพทย์จะแนะนำให้ฉีดเพียง 1 cc เท่านั้น เนื่องจากเป็นปริมาณที่พอเหมาะที่จะเพิ่มความเต่งตึงหรือปรับทรงปากให้ได้ตามที่ต้องการ การฉีดฟิลเลอร์ปาก 2 cc จะใช้ในกรณีที่ผู้เข้ารับการรักษาอยากให้ริมฝีปากหนาเป็นทรงอวบอิ่มที่นิยมทำกันในฝั่งตะวันตก หรือริมฝีปากเดิมอาจจะบางมาก ทั้งนี้การฉีดปาก 2 cc อาจมากเกินไปในบางกรณี แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาและแนะนำปริมาณที่เหมาะสมให้กับผู้เข้ารับการรักษาด้วยตนเอง


ฟิลเลอร์ปาก ควรใช้ยี่ห้อไหน รุ่นไหนดีที่สุด ?

สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ปาก ปัจจุบันมีฟิลเลอร์ Restylane Kysse จากสวีเดน เป็นฟิลเลอร์รุ่นเดียวที่ออกแบบมาเพื่อใช้ฉีดและแก้ไขปัญหาริมฝีปากโดยเฉพาะ มีลักษณะพิเศษคือเป็นฟิลเลอร์เนื้อละเอียด แต่มีความคงตัว สามารถช่วยสร้างขอบริมฝีปากให้ชัดเจนขึ้น เพิ่มความความชุ่มชื้น เติมความอวบอิ่ม และปรับสีปากให้ดูสดใสขึ้นได้ อยู่ได้นาน 1 ปี ทั้งนี้ฟิลเลอร์รุ่นอื่น ๆ ก็สามารถใช้ฉีดปากได้เช่นกัน ปากเป็นตำแหน่งที่ผิวมีการขยับบ่อยมาก ดังนั้นฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ควรมีค่าความยืดหยุ่นสูง คงตัวไม่เสียทรง และมีความเป็นธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์และความต้องการของคนไข้ในแต่ละเคส

  1. Restylane Kysse ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด แต่มีความคงตัว สร้างขอบริมฝีปากที่ชัดเจนให้ความชุ่มชื้นและความอวบอิ่ม ออกแบบมาสำหรับใช้เติมเต็มริมฝีปากโดยเฉพาะ อยู่ได้ 12 เดือน
  2. Restylane Vital Light เนื้อละเอียด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ไขริมฝีปากแห้ง โดยไม่ต้องเพิ่มความหนามาก อยู่ได้ 6-12 เดือน
  3. Restylane Volyme เนื้อนิ่มปานกลาง และมีความยืดหยุ่นสูง อุ้มน้ำ ดูเป็นธรรมชาติไม่เป็นก้อน เหมาะฉีดมุมปาก อยู่ได้ 18 เดือน
  4. Restylane Refyne เนื้อนิ่ม มีลักษณะยืดหยุ่น สามารถเติมเต็มให้ปากอวบอิ่ม เป็นธรรมชาติ อยู่ได้ 12 เดือน
  5. Juvederm Ultra Plus เนื้อนิ่ม ฉีดแล้วฟูมาก เหมาะกับคนที่ต้องการปากอวบอิ่มแบบฝรั่ง อยู่ได้ 12 เดือน
  6. Juvederm Voluma เนื้อแข็ง แน่น ฟูปานกลาง อยู่ได้นานที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปากอวบอิ่มและอยู่ได้นาน อยู่ได้ 18 เดือน
  7. Juvederm Volift เนื้อนิ่ม มีความละเอียด และยืดหยุ่นสูง ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน อยู่ได้ 12 เดือน
  8. Juvederm Volite เนื้อละเอียด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการให้ผิวปากชุ่มชื้น อวบอิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ได้ 8-12 เดือน
  9. Belotero Volume เนื้อละเอียด โมเลกุลเล็ก ใช้ฉีดเก็บรายละเอียดได้ดี เหมาะสำหรับเติมเต็มเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับปาก อยู่ได้ 12-18 เดือน


เทคนิคฉีดฟิลเลอร์ปาก

การฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อให้ได้รูปทรงที่สวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ หมอต้องมีเทคนิคและประสบการณ์ สามารถวางตำแหน่งฟิลเลอร์ได้อย่างเหมาะสม ไม่ลึกหรือตื้นเกินไป ในการฉีดปากจุดที่ต้องใส่ใจรายละเอียดเป็นพิเศษได้แก่ บริเวณ Vermilion border (ขอบปาก) และ Philtrum (ร่องบนริมฝีปาก) เนื่องจากหลายคนอาจมีปัญหาขอบปากเบลอ ไม่ชัด ปากเรียบแบนไม่เป็นทรง แต่การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยสร้างขอบปาก เติมติ่งริมฝีปาก (Tubercle) ทำให้เป็นทรงกระจับสวยมากขึ้น โดยจะเน้นเรื่องความเป็นธรรมชาติ ดูความเหมาะสมของขนาดและรูปทรงริมฝีปากกับรูปหน้า ใช้ปริมาณฟิลเลอร์และจุดฉีดที่เหมาะสม ผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ปากจะเป็นกระจับสวยงามเข้ากับรูปหน้าที่สุด


ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก?

  • ผู้ที่อยากปรับรูปปากให้สวยงามมากขึ้น
  • ผู้ที่ปากไม่เท่ากัน ไม่สมมาตร
  • ผู้ที่ปากเล็ก ปากบางเกินไป
  • ผู้ที่ปากบนและปากล่างหนาบางไม่สมดุลกัน
  • ผู้ที่ปากเป็นร่อง ดูไม่สวยงาม สุขภาพไม่ดี
  • ผู้ที่ปากแห้ง เป็นร่อง เป็นขุย ลอกตลอดเวลา การฉีดฟิลเลอร์สามารถทำให้ปากนุ่มและชุ่มชื้นขึ้นได้
  • ผู้ที่อยากเสริมโหงวเฮ้ง โดยแก้ไขรูปปากให้ตรงกับตำราโหงวเฮ้งมากขึ้น

ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์?

  • ผู้ที่เคยผ่าตัดปากมาก่อนในบางกรณี หากพังผืดจากแผลรั้งริมฝีปากมากเกินไป จะไม่สามารถฉีดฟิลเลอร์ได้ หรือฉีดได้ในปริมาณที่น้อยกว่าปกติ
  • ผู้ที่กำลังใช้ยา หรือเป็นโรคที่มีผลกับการแข็งตัวของเลือด จนทำให้เลือดหยุดยาก หรือทำให้เกิดรอยช้ำได้ง่ายกว่าปกติ ตัวอย่างเช่น กำลังใช้ยาแก้ปวดทั้งแอสไพรินและ NSAIDS ยาลดการแข็งตัวของเลือด รวมถึงวิตามินหรือสมุนไพรบางชนิด เช่น วิตามินอี กระเทียม ขิง แปะก๊วย เป็นต้น
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร
  • ผู้ที่กำลังเป็นโรคเริม หรืองูสวัด
  • ผู้ที่ผิวหนังบริเวณปากหรือบริเวณใกล้เคียงกำลังอักเสบหรือติดเชื้ออยู่ ควรรักษาให้หายก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา
  • ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นคีลอยด์ได้ง่าย
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้กรดไฮยาลูรอนิค

“การแพ้ฟิลเลอร์ เป็นผลข้างเคียงที่พบได้ค่อนข้างน้อย หากใช้ฟิลเลอร์กรดไฮยารูลอนิคที่มีคุณภาพ แต่ก็สามารถพบได้หากร่างกายแพ้สารตัวนี้อยู่แล้ว ผู้ที่แพ้จะเกิดลมพิษรุนแรงหลังฉีดไม่นาน หากมีอาการดังกล่าวก็ควรติดต่อแพทย์ที่ฉีดให้เพื่อรักษาต่อไป ส่วนในกรณีที่ฉีดไปนานหลายเดือนหรือเป็นปีแล้วเกิดอาการบวมแดง อาจเกิดจากการแพ้ฟิลเลอร์เมื่อฟิลเลอร์เสื่อมอายุ หรืออาจเกิดจากภูมิคุ้มกันของผู้ฉีดฟิลเลอร์เองก็ได้ หากมีอาการดังกล่าวก็ควรพบแพทย์เพื่อฉีดสลายต่อไป”


ฉีดฟิลเลอร์ปาก อันตรายไหม?

ในกรณีที่ใช้กรดไฮยาลูรอนิคฉีด เป็นฟิลเลอร์ปากนั้นปลอดภัยมาก เนื่องจากโอกาสแพ้ต่ำ ทั้งยังฉีดสลายได้หากได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีหรือเสี่ยงเกิดปัญหาสุขภาพหลังฉีด ทั้งนี้ ฟิลเลอร์ปากมีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้เช่นกัน เนื่องจากบริเวณปากเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดกระจุกตัวอยู่ในบางส่วนของริมฝีปาก หากฉีดโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ หรือฉีดกับคลินิกเถื่อน อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่อันตรายได้ หากฉีดผิดที่ ฟิลเลอร์ปากอาจเข้าไปอุดตันที่เส้นเลือด จนทำให้เนื้อเยื่อบางส่วนไม่มีเลือดมาเลี้ยงและเกิดเป็นเนื้อตายได้ หรือถ้าแขนงหลอดเลือดที่ฟิลเลอร์ปากไปอุดตันอยู่ เป็นแขนงเดียวกับเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณดวงตา ก็อาจทำให้ตาบอดได้ ซึ่งถือว่าอันตรายมาก

ดังนั้นการเลือกแพทย์ที่น่าเชื่อถือในการฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นเรื่องสำคัญมาก การฉีดกับแพทย์ที่ประสบการณ์สูง จะทำให้มีความเสี่ยงฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือดลดลง และถึงแม้ว่าจะเกิดความผิดปกติดังกล่าวขึ้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็จะสามารถฉีดสารไฮยาโลรูนิเดส (Hyaluronidase) เพื่อ สลายฟิลเลอร์ ปากกรดไฮยาลูรอนิคที่ไปอุดตันหลอดเลือดได้ก่อนที่จะเกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆตามมา


การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก

  1. ก่อนฉีดฟิลเลอร์ ควรเข้าปรึกษา พูดคุยและประเมินลักษณะริมฝีปากกับแพทย์ก่อน แพทย์จะประเมินลักษณะของริมฝีปากว่าสามารถทำเป็นทรงตามที่ผู้เข้ารับการรักษาต้องการได้หรือไม่ พร้อมกับถ่ายภาพปากไว้เพื่อให้เปรียบเทียบกับปากหลังจากฉีด หากพอใจกับความเป็นไปได้หลังฉีด แพทย์จะนัดวันสำหรับฉีดฟิลเลอร์ปาก หรืออาจฉีดในวันที่ประเมินเลยก็ได้เช่นกัน
  2.  คนไข้ต้องแจ้งประวัติการใช้ยา โรคประจำตัว และการตั้งครรภ์ กับแพทย์ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ปาก ฟิลเลอร์ในส่วนอื่นๆ หรือหัตถการใดๆ ก็ตาม เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับการรักษาเอง
  3. ศึกษาวิธีดูฟิลเลอร์แท้ – ปลอม รวมถึงการเลือกคลินิกและแพทย์ที่ได้รับมาตรฐานและเป็นที่ไว้วางใจ ดูรีวิวจากผู้ใช้บริการจริงในคลินิกนั้น ๆ
  4. ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ปาก 1 สัปดาห์ ควรงดยาทาที่มีผลต่อการผลัดเซลล์ผิว ยาทาชนิดผลัดเซลล์ผิว หรือการแว๊กซ์ และให้หยุดยา อาหารเสริม งดวิตามิน St.Johns Wort, ginko biloba, primrose oil, garlic, ginseng , Vitamin E หรือสมุนไพรที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด รวมทั้งยาแก้ปวด ทั้งแอสไพริน และ NSAIDS หากเป็นยาที่แพทย์จ่ายให้ทานประจำ ควรปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ก่อนหยุดยา
  5. ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ปาก 2 – 3 วัน ให้งดอาหารรสจัด โดยเฉพาะอาหารที่มีรสเค็ม
  6. ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ปาก 24 ชั่วโมง ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และงดกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด อย่างการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่

ฉีดฟิลเลอร์ปาก มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปากทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที หรือ อาจนานถึง 2 ชั่วโมง แล้วแต่กรณี

  1. ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก จะมีการทำความสะอาดบริเวณที่ฉีด และ ฆ่าเชื้อบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  2. ใช้ยาชา เพื่อทำให้รู้สึกไม่เจ็บบริเวณที่ฉีด ส่วนใหญ่จะใช้ยาชาแบบทา หากแพ้ยาชาแพทย์อาจจะพิจารณาให้ใช้ยาฉีดที่ออกฤทธิ์กับระบบประสาทโดยเฉพาะ ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ เกิดผลคล้ายกับการใช้ยาชา หลังจากใช้ยาชาแล้ว ทิ้งไว้ 15 – 30 นาทีเพื่อให้ยาออกฤทธิ์
  3. เปิดฟิลเลอร์กล่องใหม่ เพื่อให้คนไข้มั่นใจและสามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นของแท้ หมอจะเปิดกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้าทุกครั้ง
  4. ฉีดฟิลเลอร์ปาก ด้วยเข็มขนาดเล็กตามปริมาณ และ ตำแหน่งที่กำหนดไว้ ขั้นตอนนี้ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แพทย์จะฉีดที่ความลึกประมาณ 2.5 มิลลิเมตร เพื่อไม่ให้ตื้นเกินไปจนฟิลเลอร์ปูด หรือลึกเกินไปจนฟิลเลอร์ย้อนเข้าเส้นเลือด โดยจะค่อย ๆ ฉีด เพื่อปรับทรงให้สวยงาม เป็นธรรมชาติ
  5. หลังฉีดเสร็จ แพทย์จะทำความสะอาดแผล อีกครั้ง ไม่ต้องเย็บแผล เนื่องจากแผลจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก มีขนาดเล็กมาก
  6. พักฟื้นสักครู่ พร้อมกับใช้น้ำแข็งประคบ เพื่อลดอาการบวมแดง และดูอาการข้างเคียง
  7. แพทย์แนะนำการตัวแลตัวเอง หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อให้ฟิลเลอร์เข้าที่เร็วและอยู่ได้นานขึ้น
  8. นัดติดตามผล หลังจากฉีดฟิลเลอร์ปาก 1 เดือนเมื่อปากเข้าที่เต็มที่แล้ว

หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ดูแลอย่างไร?

หลังฉีดฟิลเลอร์ปากทันที

  • ไม่ควรทานอาหาร เพราะอาจกัดริมฝีปากโดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจาก ยาชายังไม่หมดฤทธิ์
  • ควรประคบน้ำแข็งให้ได้มากที่สุด เพื่อให้อาการบวมแดง บรรเทาลง
  • ควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มร้อน ๆ เพราะอาจเกิดทำให้ปากเกิดอาการบวมหรืออักเสบได้ง่าย
  • งดการทำกิจกรรมหรือการออกกำลังหนัก ๆ ที่จะทำให้ปากเสียรูปทรง

ช่วง 2 – 3 วันหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก

  • หลีกเลี่ยงการจับริมฝีปากโดยไม่จำเป็น ไม่ควรกด นวด เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนและผิวช้ำกว่าเดิมได้
  • ไม่ควรดึงหรือลอกหนังริมฝีปาก เพราะจะเป็นการทำลายผิวริมฝีปาก ทำให้ผิวเก็บกักน้ำ และ ความชุ่มชื้นไว้ ได้น้อยลง
  • ไม่ควรถูกแสงแดด เนื่องจากผิวจะไวต่อสิ่งกระตุ้นมากกว่าปกติ
  • ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ เพราะมีผลกับระบบเลือด
  • ควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ  เพื่อเพิ่มการอุ้มน้ำของฟิลเลอร์ การดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยให้ฟิลเลอร์ฟูขึ้น และอยู่ได้นานขึ้น

ช่วง 1 อาทิตย์แรกหลังจากฉีดฟิลเลอร์ปาก

  • ไม่ควรใช้ยา อาหารเสริม หรือสมุนไพร ที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด รวมทั้งยังไม่ควรออกกำลังกายจนเลือดสูบฉีดมากกว่าปกติ
  • ไม่ควรทานอาหารสุกดิบ และนมวัว เพราะทำให้แผลเสี่ยงติดเชื้อ
  • ไม่ควรทานอาหารรสจัดและอาหารหมักดอง เพราะจะไปกระตุ้นการอักเสบ
  • ไม่ควรทำเลเซอร์ทุกชนิด
  • ไม่ควรอยู่ในที่ร้อน อย่างห้องซาวน่า ร้านอาหารที่มีเตาร้อน หรือทานของร้อน เนื่องจากความร้อนจะทำให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวผิดปกติ และเสื่อมได้ไว

หลังจากฉีดฟิลเลอร์ปาก อาจจะรู้สึกเจ็บ ปวด หรือคัน หลังยาชาหมดฤทธิ์ และ อาการดังกล่าวจะหายไปเองประมาณ 12 – 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นปากจะบวมและแดงอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนจะหายเป็นปกติ ปากจะได้รูปตามที่วางแผนไว้กับแพทย์ หากอาการเจ็บปวดไม่ดีขึ้นหรือไม่หายบวม ควรปรึกษาแพทย์ประจำสถานพยาบาลที่รักษาให้เร็วที่สุด ถ้าอยากจะรักษาผลลัพธ์ให้อยู่นาน ๆ ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อเพิ่มการอุ้มน้ำของฟิลเลอร์ การดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยให้ฟิลเลอร์ฟู และอยู่ได้นานขึ้น ไม่ควรจับ บีบ นวด บริเวณริมฝีปาก เพราะอาจทำให้รูปปากที่ทำมาเสียรูปได้ และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด


ผลข้างเคียงที่อาจพบได้จากการฉีดฟิลเลอร์ปาก

  • อาการบวมแดงช้ำ เจ็บ คัน เลือดไหลจากรอยเข็มที่ฉีดฟิลเลอร์ปาก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง
  • ฟิลเลอร์เป็นก้อน จนเห็นจากภายนอก เกิดจากฉีดฟิลเลอร์ตื้นเกินไป ควรเข้าปรึกษาแพทย์
  • ฟิลเลอร์อุดตันเส้นเลือด จนส่งผลให้เกิดเนื้อตาย หรือ ตาบอด
  • ติดเชื้อในบริเวณ ที่ฉีดฟิลเลอร์
  • แพ้ฟิลเลอร์
  • ฟิลเลอร์ไหลเข้าสู่เนื้อเยื่อในบริเวณที่ไม่ต้องการ ทำให้ผลการรักษาออกมาไม่ดี

ทั้งนี้ โอกาสเกิดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงดังกล่าว สามารถทำให้ลดลงได้โดยการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน หรือปรึกษากับแพทย์ผิวหนังก่อนการตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก


ฟิลเลอร์ปาก vs ผ่าตัดปาก

การฉีดฟิลเลอร์ปากและการผ่าตัดปาก มีข้อดีแตกต่างกันไป การฉีดฟิลเลอร์จะเน้นปรับทรงปากให้ดูอวบอิ่มขึ้น สามารถทำทรงปากกระจับได้ แต่อยู่ไม่ได้ถาวร ส่วนการผ่าตัดปากมีข้อดีคือรักษารูปปากไว้ได้ถาวร แต่ก็ต้องรับความเสี่ยงจากการผ่าตัด และหากมีข้อผิดพลาดก็แก้ไขได้ยาก

Top 10 Clinics
Logo