ฉีด Stem Cell ดีอย่างไร ? ช่วยอะไรได้บ้าง

ฉีด Stem Cell ดีอย่างไร ? ช่วยอะไรได้บ้าง

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คืออะไร?

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คือ เซลล์ธรรมชาติที่มีลักษณะหลายเซลล์และอยู่ในสิ่งมีชีวิต ทั้งในมนุษย์ พืช รวมทั้ง สัตว์ เกือบทุกชนิด สเต็มเซลล์ประกอบด้วยหลายเซลล์ มีต้นกำเนิดมาจากเซลล์หนึ่ง โดยเริ่มต้นจากเซลล์เดียวที่มีการผสมพันธุ์ระหว่างเพศผู้และเพศเมีย พัฒนาไปเป็นหลายเซลล์และพัฒนาอีกไปเป็นอวัยวะ เซลล์ที่เป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวล เราเรียกว่า “สเต็มเซลล์”

ความแตกต่างของสเต็มเซลล์ ที่มาจากเลือด มาจากไขกระดูก และมาจากรก

สเต็มเซลล์จากเลือด: ในเม็ดเลือดประกอบด้วยสเต็มเซลล์ ในปัจจุบัน เราพยายามนำสเต็มเซลล์จากเลือดมารักษา โดยการฉีดยาให้ไขกระดูกสร้างสเต็มเซลล์ หลังจากนั้น ก็ทำการใช้เครื่องเก็บสเต็มเซลล์ และนำกลับมาฉีดเข้าไปใหม่ ยกตัวอย่าง การศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องตัดขา การใช้สเต็มเซลล์รักษานั้น ทำให้ประมาณ 90% ไม่ต้องตัดขา และยังสามารถทำให้แผลหายได้ ซึ่งเป็นการตอบสนองผลการรักษาที่ค่อนข้างดี

สเต็มเซลล์จากไขกระดูก: ในไขกระดูกของมนุษย์ มีหลายเซลล์ประกอบกัน หนึ่งในนั้นก็มีสเต็มเซลล์ไขกระดูกด้วยการเจาะเข้าไปในกระดูกและดูดส่วนของเลือดออกมา จะได้สเต็มเซลล์จากไขกระดูก ซึ่งปรากฏว่าสามารถตอบรับได้ดีในการรักษาโรคหลายๆโรค เช่น โรคหัวใจ โรคตับ โรคไขสันหลัง และโรคชรา

สเต็มเซลล์จากรก: มาจากส่วนของสายสะดือ จากรก จากน้ำคร่ำ ซึ่งสามารถสกัดนำมาใช้เป็นประโยชน์ในการรักษาได้ สเต็มเซลล์ชนิดที่เหมาะแก่การปลูกถ่ายในผู้ป่วยเพื่อการรักษา เรียกว่า “มีเซนไคม์” ในต่างประเทศ ได้แยก “มีเซนไคม์” ให้มีความบริสุทธิ์ ซึ่งจะทำให้สามารถปลูกถ่ายให้กับใครก็ได้ ทั้งนี้ ในปัจจุบัน มีการแยกสเต็มเซลล์จากน้ำคร่าแล้ว เพื่อใช้ในการรักษาโรค เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคเบาหวาน และโรคเลือด

หลักการทำงานของสเต็มเซลล์ อันดับแรก จะเข้าไปในอวัยวะที่เกิดการบาดเจ็บและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและทำให้เจริญงอกใหม่ในเนื้อเยื่อของอวัยวะนั้น ทั้งนี้ ได้มีการพิสูจน์และรับรองด้วยผลวิจัยมาแล้ว เช่น ได้ทำการทดลองนำเข็มไปทิ่มที่สมองของหนูและฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปที่หางของหนู ปรากฏว่าสเต็มเซลล์ได้เข้าไปเปลี่ยนเป็นเซลล์สมองในบริเวณสมองของหนู การเปลี่ยนแปลงเซลล์นั้น พิสูจน์แล้วว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากเซลล์ที่ฉีดเข้าไป ทั้งนี้ สเต็มเซลล์ยังทำหน้าที่ สร้างสาร Growth Factor เพื่อกระตุ้นให้เซลล์ซ่อมตัวเองซึ่งเปรียบเหมือนเป็นยาหลั่งสารอายุวัฒนะนั่นเอง

คุณสมบัติของ MSCs สเต็มเซลล์

• แบ่งตัวเพิ่มจำนวน เพื่อทดแทนเซลล์ที่หมดสภาพ ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
• แบ่งตัวแล้วยังคงรักษาคุณสมบัติเดิมได้
• เปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ชนิดอื่นได้ โดยเฉพาะเซลล์ที่เกิดการบาดเจ็บ อักเสบ

สเต็มเซลล์กับความงาม

            การนำ stem cell มาใช้ในการเสริมความงามเพื่อรักษาผิวพรรณ โดยใช้ในรูปแบบการฉีด ซึ่ง stem cell ส่วนที่นำมาใช้เพื่อความงามนั้นจะเป็น stem cell จากสายสะดือเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากร่างกายของคนเราจะผลิต stem cell ได้ในปริมาณที่น้อยในการที่จะนำ stem cell มาใช้นั้นจะต้องมีการกระตุ้นให้เกิดเซลล์จำนวนมากขึ้นโดยการนำ stem cell ไปทำการเพาะเลี้ยงให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

 สเต็มเซลล์จะทำหน้าที่

  • ลดริ้วรอยและรักษารอยแผล ทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง ดูอ่อนเยาว์อย่างชัดเจน
  • ซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพ เช่น ซ่อมแซมเซลล์ผิว
  • เพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวหนังชั้นหนังแท้ (dermis)
  • เพิ่มเซลล์ Fibroblasts ซึ่งเป็นเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตคอลลาเจนและอิลาสติน ให้กับผิวหนัง
  • กระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ
  • กระตุ้นการทำงานของ growth factor และ cytokines ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

           การฉีดสเต็มเซลล์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป และมีสภาพผิวที่อ่อนแอ ผ่านการทำทรีตเมนต์ หรือการรักษามาหลายอย่างแล้วไม่ได้ผล ผลของ Stem Cell จะเข้าไปฟื้นฟูผิวลงลึกถึงระดับเซลล์ (Cellular Level) ทำให้ผิวแข็งแรง ทำให้ตอบสนองต่อการรักษาต่างๆ ได้ดีขึ้น

           นอกจากนั้นการฉีดสเต็มเซลล์ เหมาะกับผู้ที่ต้องการเตรียมผิวให้พร้อมสำหรับการยกกระชับ ด้วยเทคโนโลยีอัลเทอร่า หรือเทอร์มาจ เมื่อผิวถูกเตรียมพร้อม ผิวแข็งแรงถึงระดับเซลล์ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพ ให้การยยกระชับผิวมีประสิทธิภาพสูงสุด

  • คืนความกระชับ เต่งตึงให้ผิว
  • ฟื้นฟูผิวให้เนียนเรียบ
  • ผิวอ่อนนุ่ม ชุ่มชื้น ฉ่ำวาว
  • ผิวสดใส เปล่งปลั่ง ชะลออายุผิว
  • เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ ตั้งแต่ 2-3 วันแรก
  • เห็นผลชัดเจนใน 1-2 เดือน
  • พบว่าในบางราย ฝ้าสามารถจางลงได้
  • ใช้เวลาทำ 30 นาที
  • ควรรับบริการทุกๆ 6 เดือน – 1 ปี

การฉีด MSCs เป็นอย่างไร จะเริ่มเห็นผลในกี่วัน และผลจะอยู่ได้นานเท่าไหร่

MSCs ที่นำมาใช้ฉีดบริเวณใบหน้านั้น จะแนะนำให้ฉีดเริ่มต้นที่ 1-5 ล้านเซลล์ทั่วบริเวณใบหน้า และ 20 ล้านเซลล์ทั่วร่างกาย ระยะเวลาที่เริ่มเห็นผลการรักษาจะอยู่ที่ประมาน 1-4 สัปดาห์ขึ้นกับคนไข้แต่ละคน และผลการรักษาจะขึ้นกับจำนวนเซลล์ที่ฉีด คุณภาพของเซลล์ที่นำมาฉีด และการปฏิบัติตัวของคนไข้เอง แต่โดยทั่วไปจะอยู่นานได้ตั้งแต่ 3-12 เดือน

Top 10 Clinics
Logo