“ดูดไขมัน” (Liposuction) คืออะไร? ดูดไขมันทั้งตัวให้ปลอดภัย เทคนิคใหม่

การดูดไขมันคืออะไร ?

ไขมันส่วนเกิน (Fat) ที่สะสมในร่างกายมีสาเหตุหลักมาจากการกินอาหารประเภท แป้ง น้ำตาล ไขมัน ในปริมาณที่มากเกินไปจนทำให้เกิดเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ เช่น อ้วนลงพุง แขนใหญ่ ต้นขาใหญ่ มีเหนียงใต้คาง เป็นต้น จนทำให้หมดความมั่นใจในรูปร่างตัวเอง
การดูดไขมัน (Liposuction) คือ การลดไขมัน กำจัดไขมันเฉพาะจุดในบริเวณที่ลดยาก หรือไม่สามารถเอาออกได้ด้วยวิธีการลดน้ำหนัก แบบควบคุมอาหารและออกกำลังกาย ซึ่งหลายคนมักเข้าใจผิดว่า “การดูดไขมันช่วยลดน้ำหนักได้” แต่ในความเป็นจริงแล้วประโยชน์ของการดูดไขมัน เป็นทางลัดในการลดไขมัน กระชับสัดส่วน สร้างหุ่นสวยในเวลาเร่งด่วนเท่านั้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการใส่เสื้อผ้า และส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีขึ้น เช่น คนที่มีหุ่นตรง หุ่นทรงกระบอก ดูดไขมันเอว เพื่อปรับรูปร่างทำให้ดูมีเอวเอส เอวคอดขึ้น หรือ ลดห่วงยางรอบเอว เอวปลิ้นได้

ใครเหมาะกับการดูดไขมันบ้าง ?

  • Skinny Fat น้ำหนักตัวน้อยแต่มีไขมันส่วนเกิน เช่น ตัวเล็กแต่ขาใหญ่ แขนใหญ่ ผอมแต่มีพุงหมาน้อย พุงยื่น ฯลฯ
  • พุงปลื้น เอวปลิ้น อ้วนลงพุง จากการกินอาหารประเภทของมัน ทอด หวาน ฯลฯ
  • ไขมันแก้มเยอะ มีคาง 2 ชั้น หรือกรอบหน้าไม่ชัด
  • ต้นขาใหญ่ น่องใหญ่ อยากดูดไขมันเพื่อปรับรูปร่างให้สมดุลกับส่วนบน
  • อยากมีหุ่นสวย รูปร่างดีในเวลาเร่งด่วน แต่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย
  • มีปัญหาไขมันสะสมที่เกิดจากยาบางชนิด เช่น ทานยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ จนเกิดไขมันหนอกหลังคอ
  • มีไขมันหน้าท้องเยอะจากการฉีดอินซูลินซ้ำๆ เป็นเวลาหลายปี
  • หน้าท้องหย่อน ท้องแขนห้อย จากการลดน้ำหนักตัวมากๆ 
  • คุณแม่หลังคลอด อยากดูดไขมันและกระชับผิวหน้าท้อง
  • โรคบางชนิดที่ต้องอาศัยการ ดูดไขมันเพื่อการรักษา เช่น ก้อนเนื้องอกไขมันหรือ Lipoma บางชนิด

ใครไม่เหมาะกับการดูดไขมันบ้าง ?

นอกจากนี้เราสามารถเช็คได้ว่า เราเหมาะกับการดูดไขมันหรือไม่? จากการคำนวณค่า BMI ซึ่งเกณฑ์การดูดไขมันจะทำได้ตั้งแต่ 20-29 แต่หากค่า BMI 30 ขึ้นไป ซึ่งเข้าข่ายเป็นโรคอ้วน (น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน) การดูดไขมันอาจจะไม่ได้ผล แพทย์อาจจะแนะนำวิธีลดน้ำหนักอื่นแทน เช่น ผ่าตัดกระเพาะอาหาร ซึ่งได้ผลลัพธ์ถึง 3 ทาง คือ ลดน้ำหนัก-ลดโรค-ลดสัดส่วน ไปพร้อมๆ กัน รวมถึงเพื่อสุขภาพที่ดี ร่างกายแข็งแรงขึ้นด้วย

ดูดไขมัน ส่วนไหนได้บ้าง ?

เราสามารถดูดไขมันได้ทุกส่วนของร่างกาย ในบริเวณที่มีไขมันส่วนเกินเยอะ ต้องการลดไขมันและกระชับรูปร่างให้สมส่วนกัน ซึ่งจากประสบการณ์เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ตำแหน่งดูดไขมันที่นิยมมากใน ผู้หญิงและผู้ชาย คือ ดูดไขมันหน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน และ ดูดไขมันเอว เพราะเป็นจุดที่ไขมันสะสมง่ายและลดยากที่สุด  นอกจากนี้การดูดไขมันเพื่อปรับรูปร่างให้สวยงาม ก็ยังนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น การดูดไขมันสร้างร่อง 11 สำหรับผู้หญิงที่อยากมีหน้าท้องเรียบแบน มีไลน์กล้ามเนื้อที่สวยงามดูสุขภาพดี , ดูดไขมันสร้างซิกแพค (Six pack Liposuction) หน้าท้องผู้ชาย หรือเพื่อการรักษาโรคอย่าง ดูดไขมันหนอกคอ ที่มีสาเหตุจากการกินยาบางชนิด , ดูดไขมันนมน้อย (ไขมันใต้รักแร้) ที่ปลิ้นออกมาจนทำให้หมดความมั่นใจ ฯลฯ

ตำแหน่งดูดไขมัน


ไขมันส่วนไหนลดยากที่สุด ?

ไขมันหน้าท้องและต้นขา เป็นส่วนที่ลดยากที่สุด ถึงแม้จะออกกำลังกายหรือคุมอาหารอย่างหนัก ซึ่งการดูดไขมันเป็นหนึ่งในทางลัดที่ช่วยให้หน้าท้องเรียบ ต้นขาเล็กลง ในเวลาไม่นาน ผลลัพธ์ชัดเจน บางคนเปลี่ยนไซส์จาก XL เป็น L-M ได้เลยก็มีแต่ทำไมบางคน ดูดไขมันหน้าท้องไปแล้ว แต่พุงไม่ยุบ ? ไขมันหน้าท้องประกอบด้วยชั้นไขมันและชั้นกล้ามเนื้อเรียงซ้อนกัน ซึ่งไขมันใต้ชั้นผิวที่เป็นไขมันชั้นตื้นนั้นสามารถดูดไขมันลดพุงได้ แต่ไขมันช่องท้อง (Visceral Fat) ที่อยู่ชั้นในติดกับอวัยวะต่างๆ ไขมันส่วนนี้ไม่สามารถดูดออกได้หากอยากลดไขมันช่องท้อง ต้องควบคุมอาหาร ปรับพฤติกรรมการกินอาหาร และออกกำลังกายแทน ดังนั้นหลังดูดไขมันหน้าท้องไป หน้าท้องบางคนอาจจะยุบลงไม่มาก เพราะอาจจะมีไขมันในช่องท้องอยู่มากนั่นเอง



ดูดไขมันมีกี่วิธี ?

เครื่องดูดไขมันแต่ละแบบต่างกันอย่างไร? ปกติแล้วเรานิยมแบ่งและเรียกวิธีดูดไขมัน ตามชื่อเครื่องมือหรือเทคโนโลยีที่ใช้มากกว่า เช่น BodyTite Pro, MicroAire PAL, Vaser Liposuction (เวเซอร์), Bodyjet (บอดี้เจ็ท) , smart lipo ซึ่งแต่ละเครื่องก็ถูกออกแบบมาใช้ในวัตถุประสงค์ต่างกัน    
  • BodyTite Pro (บอดี้ไทท์) เครื่องดูดไขมันมาตรฐานจากสหรัฐอเมริกา ใช้เทคโนโลยีคลื่น Radio Frequency (RF) มีประสิทธิภาพในการสลายไขมันและกระชับผิวได้มากที่สุดถึง 12% เป็นเครื่องเดียวที่มีเซ็นเซอร์ตรวจเช็คอุณหภูมิและมีหน้าจอแสดงอุณหภูมิขณะใช้งาน ป้องกันการเกิดผิวไหม้จากการใช้ความร้อนมากเกินไป ที่เป็นสาเหตุของการเกิดพังผืดหลังดูดไขมัน
  • เครื่อง MicroAire PAL ใช้เทคโนโลยีระบบสั่นสะเทือนในการดูดไขมันออกได้ปริมาณมาก โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อผิวบริเวณข้างเคียง มีหัว Cannulas (หัวดูดไขมัน) ที่หลากหลายให้เลือกใช้กับแต่ละส่วนได้เหมาะสม อีกทั้งหัวดูดเป็นปลายทู่ ปลอดภัยไม่เสี่ยงผิวทะลุเหมือนหัวดูดปลายแหลมทั่วไป จึงเป็นที่นิยมในหมู่แพทย์ ในสหรัฐอเมริกา

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจเลือก คลินิกดูดไขมัน

ดูดไขมัน เป็นศัลยกรรมความงาม ที่ต้องดูแลโดยแพทย์เฉพาะทาง ที่มีความเชี่ยวชาญในการปรับรูปร่าง และถึงแม้จะเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่หากไม่ศึกษาข้อมูลให้ดีพอก่อนทำ ก็อาจจะเกิดข้อผิดพลาด ผลแทรกซ้อนหลังทำ หรือเกิดอันตรายได้เช่นกัน มาดูกันว่าเราจะต้องรู้อะไรบ้าง?
  1. ประวัติและผลงานของแพทย์
  2. ความน่าเชื่อถือและประสบการณ์ของคลินิก
  3. ความสะอาดของสถานที่ มีอุปกรณ์ที่ครบครันและทันสมัย 
  4. เลือกวิธีการดูดไขมันให้เหมาะสมกับปัญหาของคนไข้ได้ดี
  5. การบริการหลังการรักษา และความจริงใจต่อลูกค้า ทั้งก่อนและหลังดูดไขมัน 

ดูดไขมันอันตรายไหม ?

การดูดไขมันในปัจจุบันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามารองรับการรักษา รวมถึงความสามารถของแพทย์ ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าหากเทียบกับการดูดไขมันแบบดั้งเดิม เราสามารถเลือกทำโดยใช้วิธีฉีดยาชา เฉพาะจุด หรือ ดมยาสลบได้ แต่อย่างไรก็ตามการดูดไขมันให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ปลอดภัย จะต้องเข้ามาปรึกษาแพทย์ เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมก่อนทุกครั้ง รวมถึงเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน มีความน่าเชื่อถือ เปิดให้บริการมายาวนาน เป็นต้น

ดูดไขมัน แบบฉีดยาชาเฉพาะจุด VS ดมยาสลบ ต่างกันอย่างไร ?

1. ดูดไขมันแบบฉีดยาชาเฉพาะจุด 

เหมาะกับบริเวณที่มีไขมันน้อยๆ หรือดูดเพียง 1-2 จุด เช่น ดูดไขมันน่อง หรือ ดูดไขมันต้นแขน ทั้ง 2 บริเวณนี้จะมีปริมาณไขมันน้อยกว่าส่วนอื่นๆ แพทย์จึงแนะนำใช้แค่ยาชาก็เพียงพอแล้ว หลายคนมีความกังวลว่า ดูดไขมันใช้ยาชาเจ็บไหม?

2. ดูดไขมันแบบดมยาสลบ

การดมยาสลบ ต้องมีวิสัญญีแพทย์ดูแลอย่างใกล้ชิด เหมาะกับคนที่ต้องการดูดไขมันหลายส่วนพร้อมกัน หรือดูดเพียง 1 ส่วน แต่มีปริมาณไขมันเยอะ ซึ่งการดูดไขมันด้วยการดมยาสลบ จำเป็นต้องมีวิสัญญีแพทย์ (หมอดมยา) คอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดการรักษา ตั้งแต่ก่อนทำ-ระหว่างทำ-หลังทำ เพื่อความปลอดภัย
สิ่งสำคัญ : วิธีการให้ยาที่ถูกต้องจะต้องคำนวณตามน้ำหนักตัวของคนไข้ และทำโดยแพทย์หรือวิสัญญีแพทย์เท่านั้น เพราะการให้ยาชาคนไข้นั้นมีข้อกำจัดเช่นกัน ในเรื่องของ Over Dose หรือการได้รับยาชาในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะทำให้มีอาการเป็นพิษได้

การเตรียมตัวก่อนดูดไขมัน

  1. งดยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือ ยาตัวอื่นๆ เช่น ยาแอสไพริน ประมาณ 2 อาทิตย์ ก่อนการดูดไขมัน
  2. งดสูบบุหรี่ และ เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ 2 อาทิตย์ เนื่องจาก การสูบบุหรี่ทำให้แผลหายช้า และ อาจจะเกิด complication หรือ ผลแทรกซ้อนได้ง่ายกว่าปกติ
  3. ควรแจ้งให้แพทย์ หากมีการแพ้ยา หรือ ใช้ยาชนิดใดอยู่ เนื่องจากยาบางชนิด หรือ อาหารเสริมบางชนิด ทำให้เลือดออกง่าย เช่น น้ำมันปลา หรือ น้ำมันตับปลา หรือ วิตามินซี
  4. หากติดเชื้อ HIV และได้รับยาจน undetectable แล้ว กรุณาสอบถามแพทย์โดยตรง

 ขั้นตอนดูดไขมัน

  1. ศัลยแพทย์วาดส่วนที่จะทำการดูดไขมันพร้อมใส่ยาชาใต้ผิวด้วยเทคนิค Pure Tumescent 
  2. หลังยาชาออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว แพทย์จะเริ่มใช้เครื่องละลายไขมันและกระชับผิวก่อน จากนั้นจะใช้เครื่องระบบสั่น ดูดไขมันออก
  3. ในกรณีที่มีการดูดไขมัน sexy line , six pack , กล้ามแขน หรือ contouring ต่างๆ แพทย์จะเลือกใช้หัวดูดแบบพิเศษเพื่อดูดไขมันเฉพาะจุด จนเกิดเป็นรูปร่างที่สมส่วน ดูสวยงามเป็นธรรมชาติ
  4. ทำ Fat Equalization เกลี่ยชั้นไขมันใต้ผิวให้เรียบเนียนเสมอกันอีกครั้ง และลดผลแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น การเกิดผิวไม่เรียบ ผิวบุ๋ม หรือผิวเป็นคลื่นหลังการดูดไขมันด้วย
  5. เย็บแผล และแปะแผ่นซึมซับพร้อมกับใส่ชุดกระชับที่ออกแบบมาเฉพาะทันทีหลังดูดไขมันเสร็จ เพื่อทำให้รูปร่าง-สัดส่วนกระชับและเข้าที่ได้เร็วขึ้น

วิธีดูแลตัวเองหลังดูดไขมัน

หลังการดูดไขมันเสร็จ พยาบาลจะทำการใส่ชุดกระชับ ทันทีซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก รวมถึงการดูแลหลังดูดไขมันเบื้องต้น เช่น งดการอาบน้ำ 1 วันหลังทำ, หลีกเลี่ยงการโดนแดด เพราะอาจจะทำให้แผลเกิดสีคล้ำ, สามารถออกกำลังกายได้หลังตัดไหม แผลแห้งสนิทแล้ว และงดทานของเค็ม งดสูบบุหรี่ งดแอลกอฮอล์ รวมถึงของหมักดองเพื่อให้แผลหายได้เร็วขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดของการดูแลตัวเองหลังการดูดไขมันที่อยากให้คำนึงถึงมากที่สุด คือ ..

1. การใส่ชุดกระชับหลังดูดไขมัน

เนื่องจากผิวบริเวณที่ดูดไขมันออกจะเกิดช่องว่างและทำให้ผิวหนังยุบตัวลง ประโยชน์ของการใส่ชุดกระชับทันทีจะช่วยทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยกระชับเข้ารูปเร็วขึ้น ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง ช่วยลดการบวมช้ำ รวมถึงป้องกันเกิดก้อนไตแข็งๆ ที่เรียกว่า ซีโรม่า (Seroma) ได้
  • ชุดกระชับหลังดูดไขมันใส่นานแค่ไหน ? 
    ใส่ชุดกระชับเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ใน 3 วันแรกหลังการดูดไขมัน หลังจากนั้นใส่เพียงวันละ 12 ชั่วโมง (เลือกช่วงเวลาเช้าหรือเย็นก็ได้) เป็นเวลาอีก 1 เดือน
  • ดูดไขมัน แต่ไม่ใส่ชุกระชับ จะเป็นอย่างไร ? 
    สิ่งสำคัญ คือ ต้องใส่ชุดกระชับแขนที่ออกแบบมาสำหรับการดูดไขมันเท่านั้น เพราะมีผลต่อผลลัพธ์หลังทำ หากใส่ชุดกระชับแบบที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาด อาจทำให้ผิวบริเวณที่ดูดไขมันเป็นริ้วคลื่นที่เกิดจากการรัดของผ้าที่ไม่ได้มาตรฐานได้

2. นวด RF หลังดูดไขมัน

การใส่ชุดกระชับ ร่วมกับการนวดจะช่วยให้ก้อนซีโรม่าสลายได้เร็วขึ้น ช่วยกระตุ้นการดูดซึมและการไหลเวียนของเหลวในร่างกาย ซึ่งดีกว่ากว่ารอให้สลายไปเองตามธรรมชาติที่ใช้เวลานานหลายเดือน
  • นวดสลายไขมันที่ไหนดี? แนะนำให้หมั่นนวดบริเวณที่ดูดไขมันอย่างสม่ำเสมอเข้ามานวดที่คลินิกได้ในทุกสัปดาห์ ตามระยะเวลาการรักษาที่กำหนดไว้ หรือนวดด้วยตัวเองที่บ้านที่บ้าน เพียงวันละ 10-15 นาที
  • ดูดไขมันกี่เดือนเห็นผล หลังดูดไขมันเสร็จจะเห็นความแตกต่างได้ทันที และรูปร่างจะค่อยๆ เฟิร์มกระชับเข้าที่มากขึ้นหลังดูดไขมันไปแล้วประมาณ 1 เดือน – 6 เดือน (ขึ้นอยู่กับแต่ละคน)

ดูดไขมันผู้ชาย ทำได้หรือไม่ ?

การดูดไขมันไม่ได้นิยมในผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายก็สามารถดูดไขมัน ปรับรูปร่าง กระชับสัดส่วนได้เหมือนกัน จุดที่นิยมคือ ดูดไขมันเอว หน้าท้อง ดูดไขมันสร้างซิกแพค รวมถึงดูดไขมันหน้าอก เพื่อรักษาภาวะเต้านมโตในผู้ชาย (Gynecomastia)

1. ดูดไขมันซิกแพค (Six Pack Liposuction) การดูดไขมันซิกแพค มีความซับซ้อนมากกว่าการดูดไขมันส่วนอื่นและทำได้ยากที่สุด เพราะต้องมีการออกแบบและสร้างไลน์กล้ามหน้าท้อง สร้างมิติ (แสงและเงา) ให้ดูเป็นธรรมชาติ การที่ทำโดยแพทย์ที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์สูง เข้าใจสรีระคนไข้ จะทำให้ผลลัพธ์มีประสิทธิภาพมากที่สุด

2. ดูดไขมันหน้าอกผู้ชาย (Breast Liposuction) ดูดไขมันหน้าอกผู้ชาย เป็นวิธีลดไขมันหน้าอกผู้ชาย ที่ช่วยแก้ปัญหานมแหลมทะลุเสื้อ นมแหลมเหมือนผู้หญิง ทำให้หน้าอกกลับมาเรียบปกติได้ แต่บางครั้งนมแหลมอาจเกิดจากการมีเนื้อเยื่อเต้านมโตร่วมด้วย ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะเต้านมโตในผู้ชาย – Gynecomastia (ไกเนโคมาสเตีย) ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเนื้อเยื่อเต้านมออก ผ่านแผลเล็กๆ บริเวณปานนม ไม่ต้องพักฟื้นนาน เพื่อไม่ให้หัวนมพุ่งออกมา หัวนมแบนราบ ใส่เสื้อยืดได้อย่างมั่นใจได้อีกครั้ง

3. ดูดไขมันเอว (Waist Liposuction) ดูดไขมันเอวนิยมทำในกลุ่มผู้ชายที่มีห่วงยางรอบเอว (Love handles) เพราะช่วยลดไขมันส่วนเกิน ทำให้มีเอวเอส เอวคอด โชว์รูปร่างได้อย่างมั่นใจ หรือเหมาะกับคนที่มีรูปร่างทรงตรง ไม่มีเอว เอวตัน หรือเอวหนา ดูดไขมันเอวจะช่วยให้มีเอวในเวลาเร่งด่วน

ดูดไขมันทิ้ง VS ดูดไขมันเติม ต่างกันอย่างไร?

  • ดูดไขมันทิ้ง จุดประสงค์คือ ดูดไขมันออกเพื่อลดสัดส่วน ให้ได้หุ่นที่สวยงาม แพทย์จะเลือกใช้เครื่องดูดไขมันพลังงานความร้อน เช่น BodyTite Pro, Vaser หรือเครื่องระบบสั่น PAL สลายไขมัน กระชับผิว และดูดไขมันออกให้ได้ปริมาณมากที่สุด และการดูดทิ้งเซลล์ไขมันไม่สามารถนำมาใช้ต่อได้เพราะถูกความร้อนสลายและไม่ได้คุณภาพที่ดีพอ
  • ดูดไขมันเติม ก็คือการดูดไขมันเพื่อมาเติมใหม่ ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย วิธีนี้แพทย์จะเลือกใช้เครื่องระบบสั่นอย่าง PAL ในการ ดูดไขมันหน้าท้อง (Belly Liposuction) และ ดูดไขมันต้นขา (Legs and Thighs Liposuction) ออกมาแทนการใช้เครื่องที่มีความร้อน ซึ่งมีข้อดี คือ ระบบสั่นจะช่วยถนอมไขมันที่ดูดออกมาได้ดี เซลล์ไขมันมีชีวิต นำกลับมาเติมเต็มส่วนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไขมันที่ดูดออกไปแล้วสามารถนำกลับมาเติมส่วนไหนได้บ้าง? เช่น เติมไขมันหน้าด้วยไขมันตัวเอง (Fat Grafting)ให้ผลลัพธ์สวยงามเป็นธรรมชาติ ลดอายุผิว ทำให้ใบหน้าดูเด็กลงอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งช่วยเติมเต็มร่องลึก ปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วน และคุ้มค่ากว่าการฉีดฟิลเลอร์ หากใช้ในปริมาณมาก ฯลฯ

ข้อดีและข้อเสียของการดูดไขมัน

ข้อดี : หลักๆ เลยก็คือ ลดไขมันและกระชับสัดส่วน ทำให้รูปร่างสมส่วน สร้างความมั่นใจในบุคลิกภาพ และ รักษาโรคบางชนิดได้ รวมถึงแทบจะไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แผลเล็ก และเจ็บน้อย ด้วยความที่มีเครื่องมือ-เทคโนโลยีที่พร้อมและครบครัน 

ข้อเสีย : อาจมีรอยแผลเป็นหลังดูดไขมัน อาการบวมช้ำ-ฟกช้ำหลังทำ ผิวไม่เรียบ ผิวเป็นคลื่น เกิดพังผืด-ผิวไหม้หลังดูดไขมันจากการที่แพทย์ใช้ความร้อนสูงเกินไป สิ่งเหล่านี้เราสามารถหลีกเลี่ยงได้โดยเลือกคลินิกหรือสถานที่ให้บริการที่ได้มาตรฐาน มีใบรับรองต่างๆ อย่างถูกต้อง รวมถึงแพทย์ที่รักษาต้องมีความชำนาญและประสบการณ์สูง
Top 10 Clinics
Logo