ต่อมหมวกไตล้าคืออะไร….อันตรายไหม ?
ภาวะต่อมหมวกไตล้าไม่ใช่โรค แต่เป็นกลุ่มอาการผิดปกติที่เนื่องมาจากต่อมหมวกไตทำงานลดลง มักเกิดเนื่องจากมีภาวะความเครียดรุนแรง หรือเครียดสะสมต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือเกี่ยวเนื่องกับการติดเชื้อทั้งแบบเฉียบพลัน หรือเรื้อรัง ผู้ที่มีภาวะความผิดปกตินี้อาจจะไม่แสดงอาการผิดปกติรุนแรง นอกจากเหนื่อย เพลีย หรือมักจะใช้คำอธิบายความผิดปกตินี้ว่า ขาดพลังในการดำเนินชีวิตคนที่เป็นแบบรุนแรงมักจะมีอาการเหนื่อยมากเกินกว่าจะดำเนินชีวิตประจำวันได้ ถ้ามีความผิดปกตินานๆจะมีผลต่อการทำงานของอวัยวะอื่นๆได้เช่น ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบการเผาผลาญอาหาร เป็นต้น
หน้าที่ของต่อมหมวกไต
1. ฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol)
เป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างขึ้นมาต่อสู้กับความเครียดโดยเฉพาะ ซึ่งปกติแล้วร่างกายจะผลิตฮอร์โมนตัวนี้เยอะมากในตอนเช้า เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวพร้อมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งวัน โดยจะมีฮอร์โมนคอร์ติซอลนี้เพิ่มระดับน้ำตาลในกระแสเลือด ทำให้มีพลังจัดการเรื่องต่าง ๆ ซึ่งฮอร์โมนนี้จะถูกลดลงเหลือเพียง 10% เท่านั้นในช่วงเย็น
นอกจากกำจัดความเครียด และสร้างพลังงานให้ร่างกายแล้ว ฮอร์โมนคอร์ติซอล ยังมีหน้าที่กระตุ้นความดันโลหิตให้สูงขึ้น และทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เพื่อให้สามารถฝ่าฟันเรื่องต่าง ๆ ระหว่างวันได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีความเครียดสะสมเรื้อรังจากการทำงาน หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ ระดับฮอร์โมนตัวนี้ที่สูงขึ้นก็จะส่งผลเสียต่อร่างกาย เพราะมันมีฤทธิ์ในการทำลายล้างที่จะทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพและแก่เร็ว
กลับกันถ้าฮอร์โมนคอร์ติซอลมีน้อยเกินไป ก็จะทำให้ไม่มีแรงลุกขึ้นจากที่นอนในตอนเช้า ขาดความกระตือรือร้น และทำให้เกิดการอ่อนเพลียตลอดทั้งวัน
2. ฮอร์โมนอัลโดสเตอโรน (Aldosterone)
เป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมสมดุลของแร่ธาตุโซเดียม และโปแตสเซียม ซึ่งจะช่วยในการควบคุมของเหลวในร่างกายของเรานั่นเอง
3. ฮอร์โมนดีเอชอีเอ (DHEA, Dehydroepiandosterone)
หรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นฮอร์โมนตั้งต้นที่จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นฮอร์โมนเพศ เช่น เอสโตรเจน, โปรเจสเตอโรน และเทสโทสเตอโรน นอกจากนี้ดีเอชอีเอยังเป็นฮอร์โมนต้านความเครียด ที่มีฤทธิ์ในการเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย กระตุ้นความรู้สึกทางเพศ และชะลอความเสื่อมของร่างกายอีกด้วย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดต่อมหมวกไตล้า
อาการต่อมหมวกไตล้า สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ซึ่งสาเหตุหลักๆ ที่สำคัญเลยก็คือ
- เครียด คิดมาก มีเรื่องกังวลใจอยู่ตลอดเวลา
- นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
- เมื่อรู้สึกเหนื่อยแล้วยังฝืนทำกิจกรรมต่อไป ไม่พักผ่อน
- อ่านหนังสือสอบมากเกินที่ร่างกายจะรับไหว ทำให้เกิดความเครียดสะสม
- ไม่มีเวลาเหลือให้ตัวเองใช้ผ่อนคลาย
- เครียดจากอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง
อาการ
ถ้าคุณมีอาการดังต่อไปนี้ คุณอาจจะมีความผิดปกติของต่อมหมวกไตล้า
1. ตื่นนอนยาก นอนไม่ค่อยหลับ แม้จะนอนครบ 8 ชั่วโมงแต่ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลีย
ภาวะต่อมหมวกไตล้า จะทำให้รู้สึกอ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะนอนหลับมาอย่างเพียงพอในตอนกลางคืน และได้งีบในตอนกลางวันก็ตาม ทำให้หลายคนใช้คาเฟอีนในการแก้ไขปัญหา ส่งผลให้ยิ่งแย่ลงเพราะไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ในตอนกลางคืน
2. ประจำเดือนผิดปกติ
ผู้หญิงที่มีภาวะต่อมหมวกไตล้า อาจส่งผลกระทบถึงฮอร์โมนเพศหญิงอื่น ๆ เช่น โปรเจสเตอโรน และเอสโตรเจน ทำให้ประจำเดือนไม่ปกติ คล้าย ๆ วัยใกล้หมดประจำเดือน คือมาไม่ตรง ร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
3. ผิวหนังและเส้นผมมีปัญหา
ภาวะต่อมหมวกไตล้าทำให้เส้นผมและผิวหนังเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ขนร่วง ผมบาง ผมแห้งเสีย บางคนอาจมีสีเปลี่ยน ใต้ตาคล้ำ ผิวแห้ง เป็นต้น
4. อยากกินของหวาน หรือของเค็ม
อาการต่อมหมวกไตล้า จะแสดงอาการเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารออกมา เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ น้ำหนักลดแบบไม่ทราบสาเหตุ อยากของหวาน ของเค็ม เนื่องจากต่อมหมวกไตมีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอัลโดสเตอโรน ซึ่งช่วยให้ไตควบคุมการขับถ่ายของเหลวและแร่ธาตุ เมื่อต่อมหมวกไตล้า ผลิตฮอร์โมนได้น้อยลง ทำให้ร่างกายต้องการทานสิ่งต่าง ๆ เข้าไปทดแทน
5. แพ้กลางวัน เก่งกลางคืน ทำงานตลอดทั้งคืนแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ภาวะต่อมหมวกไตล้า คือการที่ร่างกายไม่สามารถรักษาระดับพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการได้ในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งอาการล้าจะล้าไปจนถึงช่วงเย็น หลัง 6 โมงเย็นขึ้นไปจะรู้สึกว่าร่างกายตื่นตัวเต็มที่ สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สดชื่น เข้าใจทุกอย่าง อธิบายเรื่องยาก ๆ ได้อย่างง่ายดาย และจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ตัดสินใจด้วยความรวดเร็ว และทำงานได้ดีในเวลาดึก
6. เจ็บป่วยบ่อย ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
โรคต่อมหมวกไตล้า ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ร่างกายต่อต้านเชื้อแบคทีเรียได้ไม่ดีเท่าที่ควร ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา เมื่อเป็นแล้วต้องใช้เวลารักษานานกว่าปกติ ซึ่งนับเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของภาวะต่อมหมวกไตล้าเลยก็ว่าได้
7. มีปัญหาเกี่ยวกับความดันโลหิต
ภาวะต่อมหมวกไตล้า สามารถทำให้เกิดการความดันโลหิตสูง และต่ำได้ ซึ่งภาวะต่อมหมวกไตล้าอาจส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการมึนงง วิงเวียนศีรษะได้ เมื่อเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว
8. กังวลใจอยู่ตลอดเวลา
ภาวะต่อมหมวกไตล้า ทำให้คอร์ติซอลลดต่ำลง จนร่างกายไม่สามารถรับมือกับความเครียดได้อย่างที่ควรจะเป็น ส่งผลให้คนที่มีอาการภาวะต่อมหมวกไตล้าเกิดความวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม
9. อาการอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ โรคต่อมหมวกไตล้า ยังสามารถส่งผลให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นหอบหืด ภูมิแพ้ หายใจลำบาก ปัสสาวะบ่อย ปวดหลังช่วงล่าง นิ้วมือชา อ่อนเพลียอย่างรุนแรง หรือแม้แต่น้ำตาลในเลือดต่ำ
วิธีรักษาเมื่อเกิดภาวะต่อมหมวกไตล้า
ขั้นที่ 1: ลดความเครียด
โดยขั้นแรกให้ลดความเครียดลง เปลี่ยนมาใช้ชีวิตแบบอิสระ ไม่ต้องจัดตารางเวลาดูบ้าง แต่ละวันปล่อยให้ตัวเองเป็นคนกำหนด จากนั้นให้ฝึกการควบคุมลมหายใจเข้าออก นั่งสมาธิ กำหนดจิตให้ตัวเอง ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง พยายามปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น
ขั้นที่ 2: หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
นอกจากในเรื่องของจิตใจแล้ว สุขภาพร่างกายก็มีผลต่อภาวะต่อมหมวกไตล้าเช่นกัน ให้หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเลือกประเภทการออกกำลังกายที่รู้สึกว่าสนุก เช่น โยคะ เดินเล่น ตีแบดฯ เป็นต้น ไม่ควรทำให้การออกกำลังกายนั้น ๆ มีความตึงเครียด เช่น การแข่งขัน
ควรออกกำลังกายแบบหลากหลาย ทั้งคาร์ดิโอ และเวทเทรนนิ่ง เพื่อเสริมสร้างการทำงานและความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อภายนอก และระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย พยายามหาเวลามาออกกำลังกายให้ได้อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เป็นอย่างน้อย
ขั้นที่ 3: ห้ามงดอาหารเช้า หลีกเลี่ยงอาหารหวานและเค็ม
นอกจากนี้การเลือกรับประทานอาหารก็ส่งผลโดยตรงต่อภาวะต่อมหมวกไตล้าเช่นเดียวกัน คนที่รู้ตัวว่ามีภาวะต่อมหมวกไตล้าไม่ควรงดอาหารเช้าเด็ดขาด ควรกินก่อน 10 โมงเช้าเพื่อให้ร่างกายมีพลังงานไปหล่อเลี้ยง และดำเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบ่งอาหารที่รับประทานออกเป็นมื้อเล็ก ๆ วันละหลาย ๆ มื้อ และที่สำคัญควรรับประทานผลไม้ หรือน้ำผลไม้ใส่เกลือ เพื่อเพิ่มพลังงานให้ร่างกายทุก ๆ เช้า ควรหลีกเลี่ยงการทานขนมหวานมากเกินไป เช่น โค้ก คุกกี้ หรือโดนัท ถ้าจะให้ดีและรักษา ภาวะต่อมหมวกไตล้า ให้หายได้จริง ต้องเริ่มใส่ใจในการกินมากขึ้น ทานแต่อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ขนมปังโฮลวีท ผัก และผลไม้ ลดการดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มชูกำลัง และที่สำคัญพยายามรับประทานอาหารเสริมวิตามิน และแร่ธาตุให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ เช่น วิตามินซี, บี 5, ไนอะซิน (บี 3), แมกนีเซียม, โสม, ชะเอม, เห็ดหลินจือ เป็นต้น เพื่อเสริมการทำงานของต่อมหมวกไตให้กลับมาทำงานได้อย่างปกติ