ฟิลเลอร์คืออะไร ? เจ็บไหม ? มีผลข้างเคียงหรือไม่ ?
ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร
ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็ม Hyaluronic Acid หรือ HA ช่วยเติมเต็มหรือเสริมชั้นในผิวหนังและใต้ผิวหนัง ที่ช่วยลดและแก้ไขปัญหาผิว ริ้วรอยร่องลึก บริเวณต่างๆ ของใบหน้า ให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ กระชับ เปล่งปลั่ง
ประเภทของการฉีดฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ
1. ฉีดฟิลเลอร์ แบบชั่วคราว
ฉีดฟิลเลอร์ชนิดชั่วคราวจะเป็นสารไฮยารูโรนิกแอซิดซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ เมื่อฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการแก้ไขแล้วจะคงอยู่ได้ประมาณ 1-2ปี ฟิลเลอร์ชนิดชั่วคราวจัดว่ามีความปลอดภัยสูง สามารถสลายตัวได้เองตามธรรมชาติ
2. ฉีดฟิลเลอร์ แบบถาวร
ฉีดฟิลเลอร์แบบถาวรเคยเป็นที่นิยมเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว แต่เนื่องจากมีภาวะแทรกซ้อนและเกิดปัญหาเยอะจึงไม่เป็นที่นิยม ฟิล้เลอร์ชนิดถาวร เช่น เม็ดพลาสติก ซิลิโคน หรือน้ำมันพาราฟิน ซึ่งจะให้ผลลัพธ์แบบถาวรที่ไม่สามารถสลายออกเองได้ การกำจัดออกมีวิธีการผ่าขูดออกเพียงอย่างเดียว
จุดประสงค์หลักการฉีดฟิลเลอร์ คือ เพื่อเติมเต็มในส่วนที่เป็นริ้วรอย ร่องลึกตามจุดต่างๆ บนใบหน้า ช่วยทำให้ใบหน้าเต่งตึงมีน้ำมีนวล ริ้วรอยร่องลึกที่เคยมีจะดูตื้นขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเติมใยคอลลาเจนที่หายไปให้กลับมาดูอิ่มเอิบ แลดูอ่อนเยาว์กว่าวัยอีกด้วย
การฉีดฟิลเลอร์จะใช้เวลาประมาณ 15 – 30 นาที เมื่ออยู่ในตำแหน่งที่ต้องการแก้ไขแล้วจะเห็นผลทันที และจะยิ่งเห็นผลชัดที่สุดในวันที่ 5 โดยสามารถให้ผลลัพธ์ได้นานถึง 6 เดือน หรือขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน
ฟิลเลอร์ เหมาะกับใครและช่วยเรื่องอะไรบ้าง
ฟิลเลอร์ ช่วยในเรื่องใดได้บ้าง
1.ช่วยเรื่อง เติมเต็ม ไม่ว่าจะเป็นการเติมตั้งแต่ หน้าผาก ขมับ จมูก แก้ม แก้มตอบ ร่องแก้ม ร่องมุมปาก ร่องน้ำตา ปาก คาง กรอบหน้า คอ มือ ติ่งหู
2. ช่วยยกกระชับใบหน้า นอกเหนือจากการเติมเต็มแล้ว เรามีเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อการยกกระชับ โดยทั่วไปเมื่ออายุเยอะขึ้นไม่ใช่แต่ผิวที่ฝ่อ แต่ชั้นไขมันลดลง ชั้น smas ก็เปลี่ยนแปลงไป ชั้นกระดูกก็ยังยุบตัวลงอีก เลยทำให้เส้นเอ็นยึดผิว หรือ Retaining Ligament เกิดการหย่อนตัว จากทั้งโครงสร้างผิวที่เปลี่ยนไปและความเสื่อมของตัวมันเอง และชั้น SMAS ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน การที่ฉีดฟิลเลอร์ไปที่บางบริเวณ ก็เลยจะทำให้เส้นเอ็นยึดผิว สามารถยึดได้ดีขึ้น เลยทำให้เกิดการยกกระชับมากขึ้น การฉีดแบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ฟิลเลอร์ปริมาณมากๆ แต่ก็จะช่วยให้ดูใบหน้าอ่อนวัยและยกกระชับขึ้นค่ะ ซึ่งที่เดอะโคลเวอร์คลินิค เทคนิคนี้เรียกว่า Ogee Lifting หรือ Volume Lift โดยแตกต่างกันเรื่องของรายละเอียดและบริเวณที่ฉีดค่ะ
3. ช่วยเรื่อง Skin Quality หน้าสวยผิวต้องปังด้วยนะคะ Hyaluronic Acid บางชนิด ออกแบบมาให้ฉีดชั้นตื้นๆ ได้ คือ ชั้นผิวด้านบนได้โดยที่ไม่เป็นลำไม่เป็นก้อน และสามารถอยู่ได้นานใกล้เคียงกับฟิลเลอร์ที่ช่วยเติมเต็ม ดังนั้นจะช่วยในสามเรื่อง คือ
3.1 Hydration คือ อุ้มน้ำใต้ผิวได้ดี
3.2 Increase Elasticity คือ ทำให้เกิดการสร้างเส้นใยอีลาสติน และคอลลาเจนที่เพิ่มขึ้น
3.3 Smoothness ช่วยทำให้ผิวเนียน รูขุมขนกระชับขึ้น
ฉีดฟิลเลอร์ อันตรายหรือไม่
HA ฟิลเลอร์ คือ สารเติมเต็มที่ได้รับการรับรองโดยองค์การอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ FDA จุดประสงค์ของการใช้ฟิลเลอร์ คือเพื่อเติมเต็มข้อบกพร่องบริเวณใบหน้า เมื่อฟิลเลอร์เข้าสู่ร่างกายจะดูดซับน้ำจากภายในร่างกาย และขยายทำให้บริเวณที่ถูกฉีดดูเต็มขึ้น
ฟิลเลอร์ แต่ละยี่ห้อ แม้จะเป็น hyaluronic acid เหมือนกัน แต่ด้วยเทคโนโลยีและขั้นตอนในการผลิตที่แตกต่างกัน จึงทำให้เกิดคุณสมบัติทางกายภาพที่แตกต่างกัน ฟิลเลอร์แต่ละรุ่นเหมาะกับการใช้ฉีดในจุดต่างๆของใบหน้าไม่เหมือนกัน
ซึ่งโดยปกติเมื่อเราไปพบแพทย์เพื่อฉีดฟิลเลอร์ แพทย์จะเป็นผู้แนะนำว่าผิวของเราเหมาะกับฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนรุ่นไหน ซึ่งส่วนนึงก็ขึ้นกับความถนัดและเทคนิคการฉีดของหมอแต่ละคนด้วย
สิ่งที่จำเป็นอย่างมาก คือ จะต้องเป็นแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน รู้เทคนิคการฉีดที่ถูกต้องเหมาะสม ที่สามารถวิเคราะห์ปริมาณยา และตำแหน่งที่ฉีดได้แม่นยำ เพราะเมื่อฉีดสารเข้าไปแต่ละครั้งมีโอกาสเสี่ยงในการที่จะไปโดนเส้นเลือดบริเวณใบหน้าหรือบริเวณอื่นที่ไม่ต้องการ
สถานพยาบาลต้องมีความน่าเชื่อถือ ฉีดในสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานได้รับอนุญาตให้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย เท่านั้น เพราะเมื่อเกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ เราสามารถแก้ไขได้อย่างทันท่วงที
ตำแหน่งยอดฮิตที่นิยมฉีดฟิลเลอร์
- ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ฉีดฟิลเลอร์คาง
- ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม
- ฉีดฟิลเลอร์จมูก
- ฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก
- ฉีดฟิลเลอร์ปาก
อาการแพ้ฟิลเลอร์
อาการแพ้ฟิลเลอร์ เป็นการแพ้สารบางชนิดในฟิลเลอร์ โดยโอกาสที่จะพบคนที่แพ้ฟิลเลอร์ Hyaluronic Acid นั้นน้อยกว่า 1% เป็นโอกาสน้อยมากที่บุคคลทั่วไปจะเกิดอาการแพ้ฟิลเลอร์จึงไม่ต้องกังวลในส่วนนี้ โดยจะมีอาการแพ้อยู่ 2 รูปแบบ
ลมพิษแบบรุนแรง (Angioedema) : อาการแพ้จะแสดงให้เห็นลมพิษขึ้นมาอย่างรุนแรง
อาการแพ้ฟิลเลอร์ (Delay Hypersensitivity) : อาการแพ้ฟิลเลอร์ชนิดนี้จะแสดงให้เห็นเป็นก้อนบวม นูนแดงอักเสบ มักเกิดอาการ ได้ภายในระยะเวลา 6 เดือนหลังจากฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว โดยเบื้องต้นสามารถทานยาฆ่าเชื้อ เพื่อบรรเทาอาการบวมได้ แต่ถ้าหากรุนแรงมากอาจต้องเข้ามาพบแพทย์เพื่อทำการฉีดสลายฟิลเลอร์
ข้อควรปฏิบัติก่อนฉีดฟิลเลอร์
- ศึกษาข้อมูลที่จำเป็น ทั้งการเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน การเลือกหมอ เทคนิคในการทำ รวมไปถึงวิธีการสังเกตฟิลเลอร์แท้แต่ละยี่ห้อ เพื่อความปลอดภัยและมั่นใจว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดี คุ้มค่า
- มียาและวิตามินบางชนิดที่ควรงดก่อนฉีดฟิลเลอร์ แอสไพริน, NSAIDs, วิตามิน St. Johns Wort, ginko biloba, primrose oil, garlic, ginseng และ Vitamin E
- งดยาผลัดเซลล์ผิว การดึงหรือโกนขนบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์
- งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีด
- หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องรับประทานประจำควรแจ้งแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง
- แพทย์จะพิจารณาให้กินยาห้ามเลือดหรือฉีดยาลดบวมในบางเคส เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมช้ำ อักเสบติดเชื้อ
- สามารถแจ้งเพื่อขอแปะยาชาก่อนฉีดฟิลเลอร์ได้ และหมอจะฉีดยาชาในจุดนั้นๆ ให้ด้วย
ฟิลเลอร์เหมาะกับใคร?
1. ผู้ที่มีปัญหาผิว ต้องการลดและแก้ไขปัญหาริ้วรอยร่องลึก บริเวณต่างๆ ของใบหน้า เช่น หน้าผาก รอบดวงตา ร่องลึกมุมปาก
2. ผู้ที่ต้องการแก้ไขปรับแต่งรูปหน้า เช่น เติมริมฝีปาก ร่องแก้ม และยังช่วยทำให้แก้มดูตอบได้
3. ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวหน้าให้กลับมาคงความอ่อนเยาว์ สดใส เปล่งปลั่ง
4. ผู้ที่มีปัญหากังวลเรื่องรูขุมขน หลุมสิวบนใบหน้า
7 ข้อที่ควรปฏิบัติหลังการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ที่เต็มประสิทธิภาพ
1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับบริเวณที ฉีดฟิลเลอร์
หลังการฉีดฟิลเลอร์ไปสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งคือห้ามนวด กด รวมถึงการสัมผัสแรงๆในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปเคลื่อนที่ไปจากบริเวณที่ฉีด และในบางเคสแพทย์ใช้การฉีดฟิลเลอร์เพื่อยกหน้า การนวดทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่แพทย์วางแผนไว้หรือทำให้ไม่ได้ผลเลย
ทั้งนี้หากหลังฉีดฟิลเลอร์คนไข้มีอาการคันหรือระคายเคือง ห้ามเกาโดยเด็ดขาดเพราะอาจทำให้เสี่ยงต่อการอักเสบของผิวได้ หากอาการคันไม่หายไปภายใน 3 วัน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อความปลอดภัย
2. หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด และความร้อน
โดยปกติแล้วในช่วง 48 ชั่วโมงแรก แพทย์จะแนะนำไม่ให้ผู้เข้ารับการฉีดฟิลเลอร์โดนความร้อนที่มีอุณหภูมิสูง เช่นการเข้าห้องซาวน่า ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะความร้อนจะทำให้ฟิลเลอร์สลยอย่างที่ใครๆพูดกัน แต่ความร้อนทำให้ผิวยืดหดมากกว่าปกติ ส่งผลต่องการเซทตัวของฟิลเลอร์
หลังจากฉีดฟิลเลอร์ไป ผิวของเราอาจจะมีความเซ็นต์ซิทีฟมากกว่าปกติ ด้วยรอยเข็มหลายๆรูบนหน้า การโดนความร้อนอาจทำให้เกิดรอยแดง ระคายเคืองและผื่นขึ้นได้
3. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเสริมบางชนิด หรือใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนประกอบของกรดผลไม้
ควรหลีกเลี่ยงการทานวิตามิน เช่น กิงโกะ น้ำมันพริมโรส กระเทียม โสม และวิตามินอี ทั้งก่อนและหลังการฉีดฟิลเลอร์ ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าสารเหล่านั้นจะทำปฎิกริยาหรือส่งผลร้ายกับการฉีดฟิลเลอร์ แต่สารเหล่านั้นจะทำให้คนไข้เสี่ยงกับ “ภาวะช้ำ” ได้ง่ายกว่าปกติ
นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนประกอบของ AHA BHA หรือ Retinoids ก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองกับผิวและบริเวณที่ฉีดสารฟิลเลอร์ได้อีกด้วย ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงก่อนชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย
4. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด
ยาที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน และยาแก้อักเสบบางชนิดเป็นยาที่ควรหลีกเลี่ยงทั้งก่อนและหลังการฉีดฟิลเลอร์เพราะการฉีดฟิลเลอร์เป็นการฉีดลงไปในผิวหนังชั้นลึก ถ้าเกิดโดนเส้นเลือดขณะฉีดอาจทำให้เลือดหยุดไหลช้าทำให้ช้ำง่ายกว่าปกติ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย และไม่เสี่ยงช้ำควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาดังกล่าวอย่างน้อย 1 สัปดาห์
5. หลีกเลี่ยงการแว๊กซ์ ถอน ย้อมสีขน หรือใช้ครีมกำจัดขน
หลังจากฉีดฟิลเลอร์แล้วผิวหนังบริเวณที่ฉีดอาจมีความบอบบางลงชั่วคราว ประมาณ 2 – 3 วัน ซึ่งหากในระหว่างนี้มีการกำจัดขนด้วยวิธีต่าง ๆ เช่นการแว๊กซ์ขน ถอนขน ใช้ครีมกำจัดขน หรือทำการย้อมสีเส้นขน ก็อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง เสี่ยงต่อการอักเสบและติดเชื้อได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงไปก่อนจะดีที่สุดค่ะ
6. ดื่มน้ำมาก ๆ
ฟิลเลอร์คือสารไฮยาลูลอนิคซึ่งมีฤทธิ์ในการอุ้มน้ำได้ดี หลังจากฉีดฟิลเลอร์ในช่วง 4 – 5 วันแรก แพทย์จึงแนะนำให้ดื่มน้ำให้อย่างน้อยวันละ 8 – 10 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตรต่อวันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีและคงทน เพราะการดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ฟิลเลอร์ที่เป็นสารอุ้มน้ำมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและทำให้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ดูเต็มเป็นธรรมชาติ
7. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
หลังจากฉีดฟิลเลอร์แนะนำให้งดการดื่มแอลกอลฮอล์ และของมึนเมา ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะฟิลเลอร์จะสลายอยู่ไม่นาน แต่เป็นเพราะคนไข้จะไม่มีสติดูแลบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ไป อาจจะเผลอนวด เผลอเท้าคางได้ และการดื่มแอลกอฮอล์ทำให้เลือดสูบฉีด อาจจะทำให้เลือกออกในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ได้
การสูบบุหรี่หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไร เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ เช่น สูบบุหรี่หลังฉีดฟิลเลอร์ที่ปากอาจจะทำให้รูปลักษณ์ที่คุณหมอสร้างขึ้นมาเป็นปากกระจับอาจจะผิดรูปได้ เพราะฉะนั้นแนะนำให้งดเหล้า แอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่หลังฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อยก็ประมาณ 2 -3 วันค่ะ