ริ้วรอย (wrinkle) ตามอายุและริ้วรอยก่อนวัย แก้ไขอย่างไรดี?

ริ้วรอย (wrinkle) คือ อะไร ?

‘ริ้วรอย’ (Wrinkles) คือ ร่องเส้นที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง ปัญหาผิวหน้าอย่างหนึ่ง ที่ทำให้บริเวณผิวของเราเกิดรอยยับเป็นริ้ว เป็นเส้น หากเป็นมากจะเห็นเป็นร่องลึกลงไปในผิว ซึ่งริ้วรอยไม่ได้เกิดจากความผิดปกติ แต่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อเราอายุมากขึ้น สามารถพบได้ทั่วร่างกายโดยเฉพาะจุดที่มีการขยับบ่อยๆ เช่น ใบหน้า ข้อพับ คอ เป็นต้น

ริ้วรอยจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่ออายุประมาณ 25 ปี และจะเกิดเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ นอกจากนี้ ริ้วรอยยังไม่ได้เกิดขึ้นแค่บนใบหน้าเท่านั้น แต่ผิวหนังทั้งร่างกายจะเริ่มมีริ้วรอยเมื่ออายุมากขึ้น จุดที่สามารถเห็นได้ชัดคือใบหน้า คอ มือ และแขน เนื่องจาก โครงสร้างผิวอ่อนแอลง เพราะกระบวนการทำงานเซลล์ผิวทำงานช้าลง เซลล์ผิวอุ้มน้ำน้อยลง ผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินของเซลล์ผิวน้อยลง จนผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งกร้าน ส่งผลให้ผิวขาดความแข็งแรง ผิวมีริ้วรอยง่ายขึ้น และเริ่มเกิดผิวหย่อนคล้อยตามมา


สาเหตุ การเกิดริ้วรอยบนใบหน้า

ผิวของเราจะมีส่วนประกอบ 3 อย่าง ที่มีผลอย่างมาก ต่อความเต่งตึงของผิว นั่นคืออิลาสติน (Elastin), คอลลาเจน (Collagen), และกรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid)

“คอลลาเจน (Collagen) คือโปรตีนอย่างหนึ่งที่เป็นโครงสร้างของเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย แต่การที่ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนได้นั้นไม่ได้อาศัยแค่โปรตีน ต้องมีสารอาหารอื่นๆ อีก เช่น วิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี แต่แม้จะมีสารอาหารครบ เมื่ออายุมากขึ้นการสร้างคอลลาเจนก็จะน้อยลงเรื่อยๆ อยู่ดี”

อิลาสตินจะช่วยให้ผิวยืดหยุ่นและคืนรูป คอลลาเจนช่วยให้ผิวเต่งตึง เรียบเนียน ส่วนกรดไฮยาลูโรนิคมีผลทำให้ผิวชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ช่วยให้ผิวฟูและนุ่มขึ้น หากไม่มีสารทั้งสามตัวหรือมีน้อย เมื่อขยับกล้ามเนื้อ ผิวที่ถูกพับย่นจะไม่ขยายตัวออกมาอย่างเดิม จนเกิดริ้วรอยขึ้นบนผิว หากยังขยับให้ผิวย่นที่จุดเดิมเรื่อยๆ ก็จะเกิดเป็นริ้วรอยร่องลึกที่แก้ไขได้ยาก ดังนั้น ริ้วรอยเกิดจากการที่ผิวหนังของเรามีปริมาณอิลาสติน, คอลลาเจน, และกรดไฮยาลูโรนิคลดลงจนผิวไม่แข็งแรง เต่งตึง และยืดหยุ่นเท่าเดิม ทำให้ผิวไม่สามารถคืนตัวได้ตามปกติหลังจากกล้ามเนื้อหดตัวและคลายลง ส่งผลให้ผิวหนังหย่อนคล้อยและพับย่นจนเกิดเป็นริ้วรอยขึ้นมา นอกจากนี้ริ้วรอยยังสามารถเกิดจากปัจจัยอื่นๆ ได้อีก อย่างผิวขาดน้ำ หรือผลัดเซลล์ผิวได้ช้าจนทำให้ผิวเกิดรอยย่นได้ง่าย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะดังกล่าวมีหลายสาเหตุ ได้แก่

  • อายุ เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเกิดริ้วรอย ร่างกายของคนเราจะสร้างสารที่ทำให้ผิวหนังเต่งตึงได้น้อยลงทุกๆ ปี ประมาณปีละ 1 เปอร์เซ็นต์ เมื่ออายุย่างเข้า 25 ปี ทำให้ผิวไม่เต่งตึงเท่าเดิม เริ่มหย่อนคล้ายจนทำให้เกิดริ้วรอยขึ้น
  • พันธุกรรม คนเรามีช่วงเวลาที่เริ่มมีริ้วรอยต่างกัน ความลึก ความรุนแรง ความยากง่ายของการเกิดริ้วรอยก็ต่างกัน เนื่องจากผิวของคนเรามีโครงสร้างหรือลักษณะการสร้างสารต่างๆ ไม่เหมือนกันจากการกำหนดโดยพันธุกรรม
  • รังสียูวี (Ultraviolet (UV) light) เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยได้มากที่สุด ทั้งยังเร่งให้ริ้วรอยเป็นร่องลึกขึ้นได้มากกว่าเดิมด้วย เนื่องจากรังสียูวีสามารถเข้าไปถึงชั้นผิวหนังด้านใน และทำลายโครงสร้างของคอลลาเจน อิลาสติน และไฟเบอร์ต่างๆในผิว จนทำให้ผิวอ่อนแอ เกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าเดิมได้
  • อนุมูลอิสระ (Free radical) คือ โมเลกุล หรือ อะตอมที่ไม่เสถียร และไปจับกับโมเลกุลอื่นๆ เพื่อทำให้ตัวเองเสถียรขึ้น ส่งผลให้โมเลกุลหรืออะตอมอื่นๆ เสียหาย จนเกิดความผิดปกติขึ้นได้ ดังนั้นหากมีอนุมูลอิสระในร่างกายมากเกินไปอาจส่งผลต่อโครงสร้างต่างๆ ของผิว ทำให้เกิดริ้วรอยได้มากกว่าเดิมได้
  • การสูบบุหรี่และดื่มสุรา มีผลต่อการสร้างคอลลาเจน และ มีผลทำให้ร่างกายอายุมากขึ้น เซลล์ต่างๆ ในร่างกายเสื่อมลง ส่วนสุรามีผลทำให้ผิวขาดน้ำจนเกิดริ้วรอยตื้นๆ ได้
  • ผิวแห้ง เกิดจากอายุมากขึ้น หรือ การขาดน้ำในผิว มีผลอย่างมากต่อการทำให้ผิวฟูและเต่งตึง หากผิวขาดน้ำจะทำให้ผิวเป็นริ้วรอยได้มากขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะมีผลทำให้เกิดริ้วรอยตื้นๆ ไม่ได้มีผลทำให้เกิดริ้วรอยร่องลึกที่แก้ไขยาก
  • ความเครียด มีผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกายได้มาก ในเรื่องของการเกิดริ้วรอย ความเครียดจะมีผลกับโครงสร้างของโปรตีนในผิว ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น เมื่อมีอะไรไปรบกวนผิวหรือขยับกล้ามเนื้อมากๆ อาจส่งผลให้เกิดริ้วรอยร่องลึกที่ผิวได้ง่ายกว่าปกติ
  • การขยับกล้ามเนื้อใบหน้าซ้ำๆ เมื่อเรายิ้ม หัวเราะ เลิกคิ้ว หรือ ขมวดคิ้ว มักจะมีผิวบางส่วนที่ถูกกดเข้าหากัน หากผิวหนังส่วนนี้มีความยืดหยุ่นน้อย จะทำให้เกิดเป็นริ้วรอยบนใบหน้าได้ ยิ่งขยับซ้ำๆ ริ้วรอยจะยิ่งชัดขึ้นและเป็นร่องลึก

พฤติกรรมทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยแบบไม่รู้ตัว!

ริ้วรอยใต้ตา : ขยี้ตาบ่อยครั้ง , เช็ดตาแรงๆ , พักผ่อนไม่เพียงพอ , ยิ้มแบบหยีตา
ริ้วรอยหน้าผาก : ชอบเลิกคิ้ว , ขมวดคิ้ว , แสดงสีหน้าบ่อย
ริ้วรอยร่องแก้ม : ยิ้มหรือหัวเราะบ่อยครั้ง , นอนคว่ำหรือตะแคง , ออกแดดบ่อย


ตำแหน่งริ้วรอยบนในหน้าที่พบบ่อย

โดยปกติแล้วริ้วรอยมักจะเกิดขึ้นในบริเวณเฉพาะบนใบหน้า สามารถสังเกตได้ดังนี้

  • ริ้วรอยใต้ตา : ริ้วรอยรอบดวงตา ริ้วรอยหางตา หรือ ตีนกา เป็นจุดที่สังเกตเห็นได้ง่าย เพราะผิวหนังบริเวณรอบดวงตาบอบบางกว่าบริเวณอื่นบนใบหน้าและเกิดริ้วรอยได้ง่ายเช่นกัน โดยสามารถสังเกตเห็นได้เริ่มจากริ้วรอยบาง ๆ และตื้น ๆ ก่อน หากไม่รับดูแลรักษา ก็จะค่อย ๆ ลึกขึ้นเรื่อย ๆ ครับ
  • ริ้วรอยหน้าผาก : บริเวณหน้าผากและหว่างคิ้ว เป็นริ้วรอยที่มาจากการแสดงอารมณ์ทางสีหน้าเป็นใหญ่ เมื่อเวลาผ่านไปมักจะมีร่องลึกขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงบริเวณหน้าผากเป็นจุดที่กว้าง โดนแสง UV ได้มาก ในคนที่ไม่ทาครีมกันแดด และออกแดดบ่อย ริ้วรอยบริเวณหน้าผากจะเกิดขึ้นได้เร็วกว่าผู้อื่น
  • ริ้วรอยร่องแก้ม : เป็นอีกจุดที่พบได้ เกิดจากการแสดงสีหน้า เวลายิ้ม และความหย่อนคล้อยของผิว โดยส่วนใหญ่แล้วรอยย่นที่แก้มจะมีลักษณะเป็นร่องลึก เป็นเส้นยาวตั้งแต่บริเวณปีกจมูกโค้งลงมาถึงที่มุมปาก
  • ริ้วรอยขมวดคิ้ว : เป็นจุดที่เห็นได้ชัดเพราะอยู่ระหว่างกลางใบหน้าพอดี เกิดจากแสดงสีหน้า ในคนที่ชอบขมวดคิ้วบ่อย ๆ ก็จะยิ่งเห็นเด่นชัดขึ้น
  • ริ้วรอยที่คอ : เป็นริ้วรอยที่เกิดขึ้นได้บ่อย ไม่แพ้ริ้วรอยบนใบหน้าครับ เกิดจากผิวขาดความยืดหยุ่นและความหนาแน่นของผิวที่ลดลง

ริ้วรอย (wrinkle) สามารถแบ่งได้กี่ประเภท ?

ริ้วรอยบนใบหน้าแบ่งออก 2 ประเภท คือ

  • ริ้วรอยแบบตื้น : เกิดจากผิวหนังชั้นบนสุด มีความแห้ง ขาดน้ำ สาเหตุจากอายุที่มากขึ้น สภาพแวดล้อมที่อยู่เช่น อยู่ในสถานที่เย็น ๆ ในห้องปรับอากาศตลอดทั้งวันเป็นต้น
  • ริ้วรอยย่นแบบลึก : สาเหตุจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้หนังแท้กับหนังกำพร้าดึงเข้าหากัน เกิดเป็นรอยยับย่น มองเห็นเป็นร่องใหญ่ขึ้น พบได้มากในผู้มีผิวแห้งมาก ๆ และผิวมัน ประกอบกับเจ้าของใบหน้ามีพฤติกรรมที่การแสดงสีหน้าบ่อย ทั้งการขมวดคิ้ว เลิกหน้าผาก ก็ยิ่งทำให้เห็นริ้วรอยร่องลึกได้เร็วยิ่งขึ้นครับ

การดูแลผิวหน้าไม่ต้องรอให้ถึงวัย 30 ก็ควรที่จะเริ่มดูแลใบหน้าของเราเองได้แล้ว ควรเริ่มจากกการสังเกตตัวเองเวลายิ้ม หรือขมวดคิ้ว หากมีรอยริ้วๆ ขึ้น นั่นคือสัญญาณบอกได้ว่าผิวหน้าของเราถึงเวลาต้องเริ่มดูแลแล้ว อย่าชะล่าใจปล่อยเอาไว้จนกลายเป็นรอยลึกที่รักษายาก แต่ก็ไม่ใช่จะรักษาไม่ได้ เพราะด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย มีรอยมามายับขนาดไหนก็รักษาได้

ประเภทของริ้วรอย มี 2 ประเภท

  1. ริ้วรอยที่เกิดจากขยับกล้ามเนื้อ (DYNAMIC LINE) ขยับนิดๆ เกิดริ้วรอย คือ เป็นริ้วรอยที่เกิดจากการขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าบ่อยๆ อย่างยิ้มกว้างๆ หัวเราะ ทำหน้านิ่ว ขมวดคิ้วๆ บ่อยๆ ล้วนทำให้เกิดริ้วรอยได้ทั้งนั้น
  2. ริ้วรอยถาวร (STATIC LINE) แค่อยู่เฉยๆ ริ้วรอยก็เกิด คือ ริ้วรอยที่เกิดขึ้นเป็นริ้วรอยถาวร ไม่ขยับแต่ก็สามารถเห็นริ้วรอยได้ชัดเจน ถือเป็นขั้นรุนแรง และจะรักษายาก เพราะถือเป็นริ้วรอยถาวร

ปัจจัย ที่กระตุ้นให้ริ้วรอยลึกขึ้น

นอกจากสาเหตุที่กล่าวมข้างต้น “ริ้วรอย” ยังมีปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่เป็นต้วกระตุ้นให้เกิดขึ้นก่อนวัยอันควรได้ครับ เช่น

  • แสงแดด : แสงแดด หรือ “รังสีอัลตราไวโอเลต” ในแสงแดด ที่เป็นตัวการสำคัญทำให้ผิวเสื่อมสภาพ และเกิดริ้วรอยบนใบหน้า เนื่องจากเป็นตัวการสำคัญที่ทำร้ายโครงสร้างผิว จากการที่คอลลาเจนในผิวหนังถูกทำลาย ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่น โครงสร้างผิวอ่อนแอ เกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าผิวปกติ ทั้งยังก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้
  • แอลกอฮอล์ – บุหรี่ : สารอนุมูลอิสระทำลายโครงสร้างผิวหนังโดยตรง ทำให้ผิวมีอายุ รวมถึงทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้นครับ เพราะสารนิโคตินและแอลกอฮออล์ มีส่วนทำให้คอลลาเจนในผิวเสื่อมสภาพลง ส่งผลให้ผิวแก่ก่อนวัย
  • ความแห้งของผิว : ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ ทั้งการขัดถูกหน้าแรง ๆ สครับผิวหน้าบ่อยเกินไป ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมในการชำระล้างผิวหน้า ทำให้ผิวแห้ง ผิวขาดความชุ่มชื้น ผิวแห้งมักเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าผิวที่ชุ่มชื้น
  • นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ : สามารถทำให้เกิด ริ้วรอยบนใบหน้า รวมถึงใบหน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส การนอนหลับพักผ่อนน้อยทำให้ร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ใครที่นอนดึก นอนน้อย จะส่งผลให้ผิวไม่เต่งตึง ขาดความยืดหยุ่น ผิวแห้งและเกิดริ้วรอยได้เร็วกว่าปกติ

วิธีลดริ้วรอยบนใบหน้า

วิธีลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า สามารถรักษาได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหา โดยวิธีที่ได้รับความนิยม  ได้แก่

  • ทำทรีตเม้นต์ ลดริ้วรอย การทรีตเมนต์หน้า เป็นวิธีการดูแลใบหน้าด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การผลัดผิวใหม่ การยกกระชับผิว ซึ่งวิธีการทำทรีตเมนต์ใบหน้าเพื่อลดริ้วรอยประเภทยกกระชับ ที่ช่วยยกกล้ามเนื้อใบหน้าให้กระชับเต่งตึงยิ่งขึ้นได้ เช่น การทำทรีตเมนต์หน้าด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency therapy) คือ การใช้อุปกรณ์ปล่อยคลื่นวิทยุเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) ในชั้นผิว ทำผิวหน้าดูกระชับขึ้น ริ้วรอยดูจางลง
  • นวดหน้าลดริ้วรอย การนวดหน้า เพื่อลดริ้วรอย เป็นวิธีลดริ้วรอยแบบธรรมชาติ ที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก ซึ่งวิธีนี้จะช่วยทำให้เลือดมาเลี้ยงผิวหนังบริเวณใบหน้ามากยิ่งขึ้น แต่จะต้องทำเป็นประจำ ประมาณ 15 นาที ถึงจะช่วยทำให้ผิวเปล่งปลั่ง อัตราการเกิดริ้วรอยก็ลดน้อยลง แต่ข้อสำคัญ คือ ต้องนวดให้ถูกวิธี หากใครต้องลดริ้วรอยก่อนวัย ด้วยวิธีนี้ หมอแนะนำให้ศึกษาวิธีนวดหน้าอย่างละเอียด ซึ่งปัจจุบันมีคลิปสอนการนวดหน้าจากหลายแหล่ง ควรเลือกศึกษาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
  • ลดริ้วรอยบนใบหน้าด้วยสับปะรด การลดริ้วรอยบนใบหน้าด้วยสับปะรด เป็นวิธีที่ถูกแชร์และส่งต่อบนโลกโซเชียลค่อยข้างมาก แต่ขึ้นอยู่กับปัญหาและสภาพผิวของแต่ละบุคคลด้วย การนำน้ำสับปะรดสด ๆ มาทา หรือ ชโลมพอกที่ใบหน้า ด้วยสรรพคุณของสับปะรดที่มีวิตามินซี ก็จะช่วยผลัดเซลล์ผิว จึงสามารถลดเลือนจุดด่างดำต่าง ๆ บนใบหน้า แต่ในเรื่องของริ้วรอย ถ้าเป็นริ้วรอยเล็กๆ อาจช่วยได้บ้าง แต่เป็นริ้วรอยร่องลึกก็อาจไม่เห็นผล และข้อสำคัญคือ สับปะรดอาจจะกัดผิวหน้า โดยเฉพาะคนที่ผิวแพ้ง่าย ทำให้หน้าแห้ง เกิดสิว เกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าเดิม
  • ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั้งครีม หรือ เซรั่มลดริ้วรอย ที่มีส่วนผสมของ AHA , vitamin A acid , โคเอนไซม์ คิวเทน , วิตามินซี , กรดไฮยาลูรอน จะช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า ยังสามารถฟื้นฟูผิวได้ลึกถึงต้นตอของสาเหตุ รวมการทำ AHA treatment มีสามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกไป ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิวสามารถกระตุ้นการสร้างสาร collagen และ elastin ในผิวหนัง เป็นการลดและชะลอการเกิดริ้วรอยได้ แต่การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
  • ลดริ้วรอยด้วยเลเซอร์ เป็นการใช้เครื่องมือเลเซอร์ที่มีคุณสมบัติกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ เพื่อเป็นการช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ได้แก่ Nd:YAG , Fractional laser และ IPL สามารถช่วยลดเลื่อนริ้วรอย รวมถึงจุดด่างดำบนใบหน้าได้ วิธีรักษาริ้วรอยบนใบหน้าวิธีนี้ ค่อนข้างเห็นผลเร็ว แต่ต้องแรกมาด้วยความเจ็บ และ อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าผิวจะฟื้นฟู ลดเลี่ยงการออกแดด สักระยะ หรืออาจทำให้เกิดแผลหากเข้ารับการรักษาจากแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์
  • โบท็อก ลดริ้วรอย การฉีดโบท็อก (Botulinum toxin A) เป็นเทรนด์เสริมความงามยอดนิยม คุ้นเคยเป็นอย่างดีว่า ช่วยลดกราม ปรับรูปหน้าเรียวและลดริ้วรอยได้ โดยการฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยกระชับแก้มและลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ ให้จางหายไปได้ ด้วยคุณสมบัติของโบท็อก สามารถลดริ้วรอยบนใบหน้าผู้ชายและผู้หญิงเป็นอย่างดี หลังฉีดตัวยาจะเข้าไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท ส่งผลให้มัดกล้ามเนื้อทำงานน้อยลง เวลาขยับใบหน้าในจุดนั้นผิวก็จะไม่มีการพับ จึงช่วยลบรอยตีนกา ลดริ้วรอยใต้ตาได้
  • ฟิลเลอร์ นอกจากริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้าที่สามารถใช้โบท็อกและไฮฟู่ช่วยได้แล้ว ยังมีริ้วรอยที่เป็นร่องลึก เช่น ริ้วรอยร่องแก้ม ริ้วรอยร่องมุมปาก ร่องลึกใต้ตา ปัญหาเหล่านี้จะต้องใช้ฟิลเลอร์เข้ามาช่วยเติมเต็มครับ เพราะการแก้ด้วยโบท็อกหรือ Hifu อาจไม่เพียงพอ

  • การฉีดเมโสหน้าใส เมโสหน้าใส หรือ Mesotheraphy เป็นการฉีดวิตามินและสารสกัดที่มีประโยชน์เข้าสู่ผิวโดยตรง ออกฤทธิ์ไวขึ้น จากปกติอาจใช้เวลาเป็นเดือน ทำให้เริ่มเห็นผลได้ใน 1 อาทิตย์หลังฉีด เพื่อบำรุง ฟื้นฟูผิวที่เสื่อมสภาพและแก้ปัญหาต่างๆ บนผิวหน้า ทำให้ผิวชุ่มชื้น ขาวกระจ่างใส เสริมสร้างคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ลดการอักเสบ ช่วยขับสารพิษที่สะสมและทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เป็นการลดและชะลอการเกิดริ้วรอยได้
  • Hifu Macrofocus วิธีลดริ้วรอยด้วย Hifu Macrofocus เป็นนวัตกรรมใหม่ ปัจจุบันเริ่มเป็นที่คุ้นเคยมากขึ้น โดยการทำงานของ Hifu จะไม่ต้องฉีดหรือใช้เข็ม ทำงานโดยใช้คลื่นอัลตร้าซาวด์ที่พัฒนามาจากการอัลตร้าซาวด์ดูครรภ์ทางการแพทย์ ยิงเข้าไปใต้ชั้นผิว เหมาะกับคนที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ หรือ กลัวเข็มมาก ช่วยลดเลือนริ้วรอย ความหย่อนคล้อยและเพิ่มความกระชับให้กับบริเวณผิวหน้า การทำ Hifu สามารถเป็นวิธีลดริ้วรอยใต้ตาได้อีกวิธีหนึ่งที่เห็นผลดี สามารถทำได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่ออายุเกิน 20 ปี ก็สามารถทำได้แล้ว เพื่อช่วยรักษาใบหน้าให้กระชับ ลดปัญหาหน้ามีริ้วรอยก่อนวัย หน้าแห้งมีริ้วรอย เพราะช่วยกระตุ้น Collagen กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ โดยเนื้อเยื่อที่สร้างใหม่นี้จะแน่นกว่าของเดิม ทำให้ผิวยกกระชับ รูขุมขนดีขึ้น ผิวเนียนนุ่มขึ้น หน้าเรียบเนียนใสอย่างเป็นธรรมชาติ

วิธีป้องกันการเกิดริ้วรอยบนในหน้า ด้วยวิธีธรรมชาติ

วิธีที่ช่วยป้องกันริ้วรอยได้ดีที่สุด และวิธีลดริ้วรอยบนใบหน้าแบบธรรมชาติที่สามารถเห็นผลได้หากเป็นริ้วรอยตื้นๆ คือการปรับพฤติกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เสี่ยงทำให้เกิดริ้วรอย และเพื่อให้ผิวแข็งแรง เกิดริ้วรอยได้ยากขึ้น ซึ่งการป้องกันการเกิดริ้วรอยนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไปควรรู้ เพราะสำหรับเรื่องริ้วรอยนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยทำได้ง่ายกว่าการแก้ไขในภายหลัง สิ่งที่ควรทำเพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอย ได้แก่

  • หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง : เช่น การนอนดึก ภาวะเครียด การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดริ้วรอยและความเหี่ยวย่นที่มากยิ่งขึ้น
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ : การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี ใบหน้าจึงดูเปล่งปลั่ง ช่วยลดการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ ได้
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ : โดยเฉพาะอาหารประเภทผักใบเขียว ผลไม้ หรืออาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้เซลล์ไม่เสื่อมถอยเร็วช่วยทำให้ผิวสดใส เพิ่มความชุ่มชื้น ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว : เพื่อช่วยบำรุงผิว น้ำเป็นส่วนประกอบหลักของร่างกาย การดื่มน้ำเพียงพอจะช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน จึงไม่ก่อให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย ๆ
  • วิตามินอาหารเสริม : ใครที่กลัวว่าจะได้สารอาหารจากอาหารที่รับประทานได้ไม่เพียงพอ การเลือกอาหารเสริมหรือวิตามิน ก็มีส่วนช่วยเสริมความแข็งแรงและฟื้นฟูสภาพผิว ปกป้องผิว และช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ เช่น วิตามินซี,วิตามินอี, Zinc, คอลลาเจน, Grape Seed และ โคเอนไซม์ คิวเทน
  • ทาครีมกันแดด : ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน หรือ ทุกครั้ง ที่ออกแดด อย่างที่บอกไว้ว่าแสงแดด เป็นตัวการสำคัญที่ทำร้ายโครงสร้างผิวโดยตรง ทำให้เกิดริ้วรอยต่าง ๆ ทุกจุดบนใบหน้า เพื่อปกป้องผิว และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ควรทาครีมกันแดดทุกครั้งไม่ว่าจะต้องออกจากบ้านหรือไม่ก็ตาม
  • ทาครีมบำรุงผิว : ทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำ อาจเสริมด้วยน้ำตบ อายมาร์ค อายครีม

Top 10 Clinics
Logo