IF (Intermittent Fasting)
Intermittent Fasting (IF) คืออะไร?
ในปัจจุบัน เทรนด์การรักษาสุขภาพและรูปร่างกำลังเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการลดน้ำหนักโดยเน้นไปที่การรับประทานอาหารแบบไม่ต้องพึ่งการออกกำลังกาย ทำให้เกิดเป็นวิธีการลดน้ำหนักหลากหลายรูปแบบ เช่น การทานอาหารแบบ Ketogenic (คีโต), Atkins, Paleo รวมไปถึงการลดน้ำหนักแบบ IF ซึ่งเป็นวิธีที่หลายคนกำลังให้ความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีภาวะโรคอ้วน
การทำ IF หรือ Intermittent Fasting เริ่มจากแบ่งคำนี้ออกเป็นตัว I และ ตัว F
- I มาจาก Intermittent หมายถึง การควบคุมแคลอรี
- F มาจาก Fasting หมายถึง การจำกัดเวลาในการกินหรือเรียกง่ายๆ ว่า “การอดอาหาร”
Intermittent Fasting (IF) หรือ การอดอาหารเป็นช่วง ๆ เป็นวิธีลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งการลดน้ำหนักแบบ IF เป็นการกำหนดช่วงเวลาในการอดอาหาร (Fasting) และรับประทานอาหาร (Feeding) โดยไม่ได้เน้นที่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริโภคอาหาร แต่การกำหนดเวลาในการรับประทานอาหารจะทำให้ลดปริมาณการกินอาหารและลดพลังงานจากอาหารที่ได้รับ และในช่วงเวลาที่อดอาหาร (Fasting) ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ลดลง ส่งผลให้การเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดไปเป็นไขมันลดลง ทำให้การกักเก็บไขมันใต้ผิวหนังและน้ำหนักลดลง และช่วงที่ระดับอินซูลิน (Insulin) ลดลง ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) และนอร์อีพิเนฟริน (Norepinephrine) เพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งฮอร์โมนดังกล่าวจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันและเพิ่มการเผาผลาญพลังงานให้สูงขึ้น โดยไม่ทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลงเหมือนการอดอาหารอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นที่การควบคุมปริมาณแคลอรี เลือกอาหารแคลอรีต่ำ แต่มีไฟเบอร์และโปรตีนสูง ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ชาย ควรได้รับประมาณ 2,500 กิโลแคลอรีต่อวัน และ ผู้หญิง ควรได้รับประมาณ 2,000 กิโลแคลอรีต่อวัน แต่ทั้งนี้หลังการลดน้ำหนักแบบ ก็มีเงื่อนไขที่สำคัญอยู่ 3 ข้อ ได้แก่
- ต้องงดอาหาร 1 มื้อในแต่ละวัน
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารมื้อดึก
- กินอาหารตามปกติในช่วงเวลา Feeding 8 ชั่วโมง
รูปแบบ Intermittent Fasting (IF)
IF แต่ละแบบจะแบ่งเป็น 2 ช่วง ก็คือ Fasting (ช่วงที่อดอาหาร) และ Feeding (ช่วงที่กินอาหาร) ซึ่งแต่ละรูปแบบก็จะมีช่วงเวลาในการอดอาหาร และกินอาหารแตกต่างกัน หลากหลายรูปแบบ ได้แก่
-
สูตรวิธีลดน้ำหนัก IF 16/8 หรือ LEAN GAINS
การกินอาหารในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง และ อดอาหารในช่วงเวลา 16 ชั่วโมง โดยเป็นสูตรที่แนะนำสำหรับผู้ที่เริ่มทำ IF นิยมมากที่สุด เพราะทำได้ง่าย ทำได้ต่อเนื่อง และไม่กระทบการใช้ชีวิตประจำวันมากจนเกินไป แต่ควรระวังในเรื่องการกำหนดช่วงเวลาให้ไม่กระทบในการทำงาน
ตัวอย่างเช่น ใน 1 วันเราสามารถกินอาหารได้ในช่วง 12.00-18.00 และหลังจากนั้นให้อดอาหารจนกว่าจะถึงเวลา 12.00 ของวันถัดไป ทั้งนี้ สามารถดื่มน้ำเปล่า ชา หรือเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรี่ เช่น กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล รวมถึงสารให้ความหวานแทนน้ำตาลด้วย เพราะความหวานจะเป็นตัวกระตุ้นอินซูลินทำให้เกิดการหิวได้
- 7:00 น. ตื่นนอน
- 8:00 น. งดอาหารเช้า เปลี่ยนเป็นดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำอุ่นผสมมะนาว
- 12:00 น. เริ่มช่วงเวลาการกิน (Feeding) กินอาหารกลางวัน
- เน้นอาหารที่เป็นโปรตีน, ผักใบเขียว และไฟเบอร์ เช่น สลัดอกไก่ สลัดอกไก่ไข่ต้ม หากเป็นเมนูที่กินคู่กับข้าว ควรเลือกเป็นข้าวไรซ์เบอร์รี่ หรือข้าวกล้อง
- 15:00 น. กินอาหารว่าง
- เน้นโปรตีนและไขมันดี เช่น ไข่ต้ม, ถั่วต่างๆ, มันนึ่ง, ข้าวโพดต้ม รวมถึงผลไม้แคลอรี่ต่ำ เช่น แอปเปิล กล้วย
- 18:00 น. กินอาหารเย็น
- ควรลดแป้ง เน้นผักและโปรตีน เพื่อให้อิ่มท้อง เช่น สุกี้น้ำไก่, สลัดผักอกไก่, สลัดทูน่า โยเกิร์ต, ผักต้มและน้ำพริก
- 20:00 น. เริ่มช่วงเวลาการอด (Fasting) โดยงดการกินอาหารจนถึง 12:00 น. ของอีกวัน
-
สูตรลดน้ำหนัก IF 19/5 หรือ Fast Five
การกินอาหารในช่วงเวลา 5 ชั่วโมง และ อดอาหารในช่วงเวลา 19 ชั่วโมง ซึ่งคนที่ผ่านสูตร 16/8 มาจนเริ่มปรับตัวได้แล้วและเปลี่ยนมาเป็นทำสูตร 19/5 ซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างยาก เพราะเป็นการอดอาหารที่ค่อนข้างหักดิบ เหมาะกับคนยุ่งๆ ไม่ค่อยมีเวลากิน แต่การทำในสูตรนี้ จะมีช่วงเวลากินค่อนข้างน้อย อาจทำให้ได้สารอาหารไม่ครบถ้วนต่อร่างกายได้ จึงไม่ค่อยไม่รับความนิยม เพราะมีช่วงเวลางดอาหารยาวนาน เช่น ถ้าเป็นคนทำงานออฟฟิศ อาจจะกินมื้อแรกตอน 7.00 น. แล้วกินอีกทีตอน 02.00 น. ของอีกวัน ดังนั้นบางคนอาจขยับช่วงเวลา เป็น ทำ if 18/6 แทน
-
สูตรลดน้ำหนัก IF แบบ EAT STOP EAT
การลดน้ำหนักแบบ Eat stop Eat คือ การอดอาหาร 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วน 5 วันที่วันที่เหลือก็กินได้ตามปกติ แต่ต้องกินให้พอเหมาะต่อความต้องการของร่างกาย ให้เทียบเท่ากับปริมาณแคลอรีที่ร่างกายต้องการ เป็นวิธีที่ค่อนข้างหักโหม ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่พึ่งเริ่มต้นทำ IF เพราะจะรู้สึกหิวมาก รวมทั้งอาจทำให้ระบบในร่างกายผิดปกติ ไปจนถึงมีอารมณ์ที่ไม่คงที่ แต่จะต้องทานกินอาหารอย่างเหมาะสม เน้นอาหารดี มีประโยชน์ และเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ในช่วงเวลาที่สามารถทานได้ ข้อเสียของรูปแบบนี้คือ จะรู้สึกอยากอาหารมากขึ้นในวันต่อไป และส่งผลต่ออารมณ์มากด้วย
-
สูตรลดน้ำหนัก IF แบบ 5 : 2
การทำ IF แบบ 5:2 คือ การ Feeding 5 วัน และ Fasting 2 วัน โดย5สามารถทานอาหารได้ตามปกติ ยึดปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการได้รับในแต่ละวัน ผู้หญิงไม่ควรเกิน 2,000 กิโลแคลอรี่ และผู้ชายไม่เกิน 2,500 กิโลแคลอรี่) อาจเลือกวันอดอาหารติดกัน 2 วันรวด หรือจะเว้นให้วันห่างกันก็ได้ ซึ่งการทำ IF รูปแบบนี้ ไม่ใช่การอดอาหารโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการลดปริมาณอาหารให้น้อยลงแทน ประมาณ 1/4 ของแคลอรี่ที่ได้รับต่อวัน
ตัวอย่างเช่น ปกติแล้วในหนึ่งวัน ต้องได้ปริมาณแคลอรีไม่เกิน 2,000-2,500 (ผู้หญิงไม่ควรเกิน 2,000 กิโลแคลอรี่ และผู้ชายไม่เกิน 2,500 กิโลแคลอรี่) แต่เมื่อถึงวัน Fasting ให้ลดลงมาเหลือแค่ 500-600 หรือประมาณ 1/4 ของแคลอรีที่ควรได้รับต่อวันนั่นเอง วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนที่พึ่งเริ่มทำ IF หากต้องการทำสูตรนี้ให้ทำสูตร 16/8 ให้ชินก่อน
-
สูตรลดน้ำหนัก IF แบบ ADF (Alternate Day Fasting)
แบบ Alternate Day Fasting วิธีนี้ค่อนข้างยากสำหรับคนเริ่มทำ เป็นการอดอาหารแบบวันเว้นวัน ซึ่งจัดว่าเป็นวิธีค่อนข้างหักโหม เพราะต้องอดอาหาร 1 วัน กินอาหาร 1 วัน แล้วกลับมาอดอีก 1 วัน แต่ทั้งนี้คล้ายกับ IF สูตร 5:2 เพราะในวันที่ Fast เราสามารถกินอาหารแคลอรี่ต่ำได้ แต่ต้องกินให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ การกิน IF ADF แบบนี้ไม่เหมาะกับคนที่พึ่งเริ่มทำ เพราะจะค่อนข้างทรมาน และส่งผลให้เกิดความเครียดได้
การลดน้ำหนักแบบ IF เป็นการปรับพฤติกรรมการกินอย่างให้สอดคล้องกับหลักความต้องการของเรา และร่างกาย ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำ IF คือ สุขภาพต้องมาก่อนเสมอ ไม่ควรฝืนร่างกาย หากไม่ไหวก็ควรหยุด
-
สูตรลดน้ำหนัก IF แบบ Warrior Diet
การลดน้ำหนัก แบบ The Warrior Diet คือ การอดอาหาร 20 ชั่วโมง และกินอาหาร 4 ชั่วโมง โดยจะกินมื้อใหญ่ทีเดียว แต่จะต้องเน้นที่โปรตีน และผักสด ช่วงที่อดอาหารสามารถกินหรือดื่มของที่มีแคลอรีต่ำๆ ได้ โดยอาจเลือกกินช่วงกลางวัน และ อดช่วงกลางคืน โดยทานได้แค่น้ำเปล่า สูตรนี้คล้ายคลึงกับการฉันอาหารของพระสงฆ์ หรือ การถือศีลอดของชาวมุสลิม ซึ่งเป็นการรับประทานอาหารได้เพียงมื้อเดียว
การทำ IF รูปแบบนี้ เหมาะกับคนยุ่งๆ ไม่ค่อยมีเวลากิน แต่ข้อควรระวังคือ อาจทำให้ได้สารอาหารไม่ครบถ้วน ต้องระมัดระวังการเลือกกินให้ดี มีสารอาหารที่เหมาะสม ยิ่งมีเวลากินได้แค่ 1 มื้อต่อวัน อาจเผลอกินเยอะเกินความจำเป็น ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติได้ โดยเน้นการทานอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ ซึ่งจะเน้นการทานโปรตีนและพืชผัก เพื่อให้ได้ร่างกายได้รับแคลอรี่ที่เหมาะสม
ข้อควรรู้ ก่อนการเริ่มต้นทำ IF
สำหรับมือใหม่หัดทำ if หมอแนะนำให้เริ่มต้นด้วยการเริ่มจากสูตร 16/8 โดยจะใช้เวลาอดอาหาร 16 ชั่วโมง แล้วกิน 8 ชั่วโมง สูตรนี้สามารถทำได้ง่าย ๆ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวเข้ากับระบบ และอาจปรับเวลามื้ออาหาร เช่น โดยปกติเริ่มมื้อเช้า ตอน 8 โมงเช้า ให้ลองเริ่มกินมื้อแรกตอน 12.00 น. มื้อ 2 ประมาณ 16.00 น. และมื้อสุดท้ายเวลาไม่เกิน 20.00 น. ภายใน 8 ชั่วโมง เป็นการงดเช้า กินเที่ยงกับเย็น ก็จะสามารถทำ IF ได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าใครกลัวว่าจะยอมแพ้ไปเสียก่อน สามารถลดจำนวนชั่วโมงอดอาหารลงและเพิ่มชั่วโมงการกิน เป็น ทำ if 14/10 ก่อนในช่วงแรกและค่อย ๆ ขยับเวลาหากทำได้ดี
- ลดมื้ออาหารได้ไหม ? เพราะหากลดไม่ได้ วิธีนี้ไม่เหมาะกับคุณ ควรหาวิธีการลดน้ำหนักแบบอื่นดีกว่า
- ทำ IF จุดประสงค์ของการทำ IF มีอยู่ 2 อย่างคือ ลดน้ำหนัก และ ทำเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น หากทำเพื่อสุขภาพที่ดี ไม่ต้องลดอาหารเยอะ อาจแบ่งแคลอรี่ให้พอดีใน 1-2 มื้อที่กิน เช่น แบ่งเป็นมื้อละ 750-900 แคลอรี่
- รับผลการลดแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้เห็นผลเร็ว เพราะการลดแบบ IF จะเป็นการลดเป็นช้าๆ ค่อยๆเห็นผล สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีน้ำหนักตัวมากจนเกินไป โดยการลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม อาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนจึงจะเห็นผล
ควรเลือกทาน IF สูตรไหนดี
หลายคนสงสัยว่า สูตรลดน้ำหนัก IF มีตั้ง 6 สูตร แล้วแบบนี้เราควรเลือกสูตรไหนดี แนะนำว่า ควรเลือกทานให้เหมาะสมกับตัวเองให้มากที่สุด โดยให้คำนึงถึงวิถีชีวิตที่เราใช้ เช่น คนที่ต้องทำงานในช่วงกลางวัน หมอแนะนำให้ใช้สูตร 16/8 เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องการพลังงานในช่วงกลางวันเพื่อทำงาน
ห้ามใช้สูตรที่ต้องอดอาหารในช่วงเวลาที่ต้องทำงานเด็ดขาด หรืออาจจะใช้สูตร 5 : 2 โดยเลือก 5 วันที่ต้องไปทำงานวันจันทร์-ศุกร์ สามารถทานอาหารได้ตามแคลอรี่ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ส่วนอีก 2 วัน คือ วันเสาร์-อาทิตย์ ที่เราไม่ต้องไปทำงาน ให้ลดปริมาณแคลอรี่ลงจากปกติลงได้ค่ะ เพราะส่วนใหญ่ วันเสาร์-อาทิตย์ เราจะไม่ต้องใช้พลังงานมาก ๆ ในการออกไปข้างนอกหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
ทำ IF กินอะไรได้บ้าง?
ในช่วงเวลาที่เป็นช่วงกิน การทํา if สามารถกินอาหารได้ตามปกติ เพราะคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งพลังงานที่ต้องใช้ตอนออกกำลังกาย โดยต้องใช้พลังงานของแป้งเข้าช่วย แนะนำกินให้พอดีอิ่ม ไม่เยอะเกินไป และเลือกรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ มีประโยชน์ เลี่ยงของทอด ของมัน ขนมหวาน เครื่องดื่มติดหวาน แอลกอฮออล์ และหันมารับประทานผักผลไม้เพิ่มมากขึ้น
เพื่อให้ทุกคนไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจได้เร็วขึ้น การเลือกทานอาหารในช่วง IF ที่เหมาะสม จะช่วยให้ผลลัพธ์หลังทำ IF น่าพึงพอใจยิ่งขึ้นค่ะ ซึ่งอาหารที่คนทำ IF กินได้มีอะไรบ้าง มาดูไปพร้อม ๆ กัน
- ผักใบเขียวและผลไม้ที่มีวิตามินสูง เช่น ส้ม แอปเปิ้ล แคนตาลูป กล้วย แตงโม เป็นต้น
- ธัญพืช เช่น งาดำ ถั่ว ลูกเดือย อัลมอนด์ ควินัว
- อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไก่ ไข่ไก่ แซลมอน และอาหาร plant based
- อาหารกลุ่มคาร์บเชิงซ้อน เช่น ขนมปังโฮลวีตและข้าวไรซ์เบอร์รี
ใครบ้างที่ควรทำ และ ไม่ควรทำ IF (Intermittent Fasting)
แม้ว่าการทำ IF คือ วิธีลดน้ำหนักที่ให้ผลจริงและเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถลดน้ำหนัก IF ได้ เนื่องจากการทานอาหารรูปแบบนี้จะมีผลข้างเคียงในระยะแรกของการทำ IF ค่ะ เช่น รู้สึกหิว , อยากทานแต่ของหวาน , เวียนศีรษะ , หน้ามืด และอ่อนเพลียไม่มีแรง ดังนั้น จึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะของโรคต่าง ๆ ที่อาจได้รับอันตรายจากผลข้างเคียง
ผู้ที่เหมาะกับการทำ IF
- ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแบบเร่งด่วน
- ผู้ที่ไม่ได้ใช้แรงงาน ในแต่ละวันมากนัก
- ผู้ที่มีตารางในการทำงานชัดเจน
- ผู้ที่สามารถควบคุมการรับประทานอาหารได้
- ผู้ที่คนรอบข้างให้การสนับสนุนการทำ IF
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำ IF
- ผู้ที่ขาดสารอาหาร
- เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
- หญิงตั้งครรภ์ และ ให้นมบุตร
- ผู้ที่อยู่โปรแกรมลดน้ำหนักอื่น ๆ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวต่าง ๆ อาทิ โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคกระเพาะอาหาร
- ผู้ที่มีเวลาพักผ่อนน้อย
- ผู้ที่มียาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ
- ผู้ที่มีประวัติประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือ ประจำเดือนขาด
- ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติ
- ผู้ป่วยด้วยโรคร้ายแรงต่าง ๆ
ข้อดี- ข้อเสียของการทำ IF (Intermittent Fasting)
ข้อดี ของการทำ IF
- ช่วยปรับสมดุลอนุมูลอิสระในร่างกาย
- ช่วยลดการอักเสบซ่อนเร้นในร่างกายให้ลดลง
- ช่วยปรับการทำงานของเซลล์ ยีน และฮอร์โมนในร่างกาย
- ชะลอวัย ช่วยให้อ่อนเยาว์ขึ้น เนื่องจากอนุมูลอิสระ และการอักเสบในร่างกายลดลง
- กระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ
- ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินและน้ำตาลในเลือด ได้ดีมากยิ่งขึ้น
- ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง ทำให้ความจำดีขึ้น
- ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหัวใจ
- ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้ตรงเวลา เป็นระบบมากขึ้น และ ลดการทานอาหารจุกจิก
- เพิ่มอัตราการเผาผลาญได้มากขึ้น
- ช่วยลดแคลอรี่ ลดไขมัน และลดน้ำหนัก
- ช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี ลดไขมันในเลือด
- สุขภาพภายในดีขึ้น รูปร่างดีขึ้น ส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
ข้อเสีย ของการทำ IF
- ทำให้ระดับน้ำตาลต่ำ อาจจะเวียนหัว และเป็นลมได้
- ในบางคนอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยง ที่จะรับประทานอาหารมากเกินไป ในช่วงที่เวลาที่กินอาหารได้
- ในผู้หญิงอาจทำให้เกิดปัญหาประจำเดือนมาผิดปกติ
- ทำให้เกิดอาการเพลีย ไม่มีแรง อ่อนล้า หงุดหงิดง่าย
- ทำให้รู้สึกโหยมากขึ้น ในช่วงกลางคืน
- อาจเกิดอาการนอนไม่หลับ เพราะรู้สึกหิว
- อยากทานของหวาน จนอาจทำไปสู่การรับประทานอาหารมากขึ้น อาหารที่มีแคลอรี่สูง
- สารอาหารไม่เพียงพอ ทำให้มีอาการผมร่วง
- เกิดความเครียดที่เกิดจากช่วงเวลาที่ยาวนานของการอดอาหาร
ประโยชน์ของ IF (Intermittent Fasting)
ประโยชน์ของการทำ Intermittent Fasting (IF) คือ เมื่อน้ำหนักลดลง ปริมาณไขมันในร่างกายลดลง จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง แบบไม่ติดต่อต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน ไขมันสูง ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดียิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ มีผลการวิจัยพบว่า การทำ IF ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ มีงานวิจัยหลายชิ้น เช่น งานวิจัยของ Harvard T.H. Chan School of Public Health ที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2017 แสดงให้เห็นว่า การอดอาหารมีแนวโน้มทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้น โดย IF จะกระตุ้นการกลืนกินตัวเองของเซลล์ (Autophagy) ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยให้เกิดการซ่อมแซมระดับเซลล์ โดยปกติเซลล์ในร่างกายมีการสร้างใหม่และตายไปตลอดเวลา เมื่อเกิดการกลืนกินตัวเองของเซลล์จะมีการสร้างเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงมาแทนเซลล์เก่าที่เสื่อมสภาพไป
วิธีการวัดผลหลังทำ IF (Intermittent Fasting)
หลังจากที่ทํา IF มานาน หลายคนคงมีคำถามว่ากี่วันถึงจะเห็นผล? ต้องบอกว่า ผลลัพธ์จะเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางคนอาจจะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือนก็เห็นผล บางคนอาจต้องทำเป็นปีจึงจะเริ่มเห็นผล ทั้งนี้ การที่จะรู้ได้ว่าการทำ IF นั้นได้ผลหรือไม่ ควรจะทำการวัดไขมันทุกๆ เดือน โดยวิธีการวัดสามารถทำได้ดังนี้
- วัดจากเครื่องชั่งน้ำหนัก
- วัดด้วยคาลิเปอร์ หรือที่นิยมเรียกกันว่า ที่หนีบวัดไขมัน สามารถวัดไขมันได้ทุกสัดส่วนของร่างกาย เช่น บริเวณช่วงอก ต้นแขน หน้าท้อง และต้นขา
- วัดด้วยสูตรคำนวณ หลายๆ เว็บไซต์ได้ออกแบบตารางการคำนวณไขมันในร่างกาย การใช้งานไม่ยุ่งยากและทำให้สามารถติดตามค่าไขมันในร่างกายได้อย่างสะดวกสบาย
วิธีลดน้ำหนักเร่งด่วน แบบต่าง ๆ นอกจาก IF ผอมได้ไม่ต้องอดอาหาร
ในบางคนการทำ IF อาจเป็นวิธีลดน้ำหนัก ที่ไม่เหมาะสมกับบางคนมากนัก ถ้าตารางการทำงานแต่ละวันไม่คงที่ เพราะสำหรับคนที่มีโรคประจำตัว ควรจะทานอาหารให้ครบสามมื้อ และได้รับสารอาหารที่เพียงพอ จึงอยากนำเสนอวิธีลดน้ำหนัก ด้วย การทานอาหารลดน้ำหนัก การเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ ที่ทำให้น้ำหนักขึ้น ซึ่งสามารถทำตามได้ง่ายๆดังนี้
- เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน : หากต้องการลดน้ำหนัก ลดไขมันส่วนเกิน การเลิกรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะของมัน ของทอด ของหวาน รวมถึงขนมหวาน หรือขนมกรุบกรอบต่าง ๆ ก็สามารถช่วยได้ หากรู้สึกหิวแนะนำเปลี่ยนเป็นทานธัญพืช หรือผลไม้แทนได้
- มื้อกลางวัน ให้เน้นรับประทานโปรตีน : เลือกทานอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ และโปรตีนสูง เช่น อกไก่ เนื่องจากมีไขมันน้อยและย่อยได้ง่าย ซึ่งอาจจะทานคู่กับแตงกวา มะเขือเทศ อาจจะเพิ่มไข่ต้มไปด้วยสัก 2 ฟอง เพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วน นอกจากจะน้ำหนักลดแล้วยังได้สุขภาพดีแถมมาด้วย
- ลดโซเดียม ลดเค็ม ลดน้ำตาล : การรับประทานอาหารที่มีโซเดียม และเกลือที่มากเกินไป จะส่งผลต่อการบวมน้ำ ส่วนน้ำตาล โดยเฉพาะน้ำตาลจากเครื่องดื่ม เช่น ชานม น้ำอัดลม สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อน้ำหนัก รวมถึงยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอยากอาหาร ดังนั้นเมื่อรับประทานอาหารควรลดการปรุง หรือเลือกทานอาหารที่มีโซเดียม และน้ำตาลน้อยจะดีที่สุด
- ทานอาหารเย็นที่มีแคลอรี่ต่ำ : การทานอาหารเย็นถือเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้อ้วน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องพิถีพิถันกับอาหารในมื้อนี้เป็นอย่างมาก ควรเลือกทานอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ และควรทานมื้อเย็นก่อนเข้านอนอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง
- อาหารทุกมื้อต้องมีผัก : ผักผลไม้มีไฟเบอร์ ส่วนช่วยในระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดีขึ้น การเพิ่มผักใบเขียวและผลไม้ที่น้ำตาลน้อย ในทุกมื้ออาหารจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราดีขึ้น
- ดื่มน้ำมาก ๆ : ในช่วงลดน้ำหนัก ควรดื่มน้ำเปล่าจะดีที่สุด โดยเฉพาะในช่วงเช้า หลังจากตื่นนอนให้ดื่มน้ำทันทีทุกเช้า 1 แก้ว เพื่อช่วยให้ระบบทางเดินอาหาร และระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ในระหว่างวันควร ดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่ โดยควรดื่มน้ำ 1-2 ลิตรต่อวัน เพราะนอกจากช่วยเรื่องน้ำหนักแล้ว ยังช่วยในเรื่องผิวพรรณอีกด้วย
- พักผ่อนให้เพียงพอ นอนให้ครบ 8 ชั่วโมงต่อวัน : หากนอนน้อย อดนอนบ่อย ๆ จะส่งผลให้ ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้เราอ้วนขึ้นได้ แนะนำให้นอนอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและควบคุมการสะสมไขมัน
- การออกกำลังกาย : การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ลดน้ำหนักได้ดีสุด ๆ ควรทำอย่างน้อย 30 นาที ต่อวัน สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มออกกำลังกาย อาจเลือกเป็นการกระโดดเชือก เพราะการกระโดดเชือกเพียง 15 นาที เทียบเท่ากับการวิ่งออกกำลังกาย 30 นาที แนะนำให้กระโดดครั้งละ 10 นาที วันละ 2 ครั้ง หรือจะเลือกออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออื่น ๆ ที่ช่วยเผาผลาญได้ดี
อาหาร 4 สี ช่วยลดน้ำหนัก
สำหรับบางคนที่มองว่าวิธีลดน้ำหนัก แบบ IF หักโหมเกินไป ไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเอง วิธีง่ายๆที่ ทุกคนสามารถทำตามได้มาแนะนำ นั่นก็คือสูตรลดน้ำหนักด้วยการทานอาหารลดน้ำหนัก ซึ่งแบ่งเป็นอาหาร 4 สี ดังนี้
อาหารสีเขียว
อาหารสีเขียว เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่สูง มีส่วนช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ขับของเสียต่างๆออกจากร่างกาย ซึ่งอาหารสีเขียวมักจะเป็นอาหารจำพวกผักต่างๆ ได้แก่ กะหล่ำปี ผักโขม ผักกาด ผักคะน้า ผักบุ้ง พริกเขียว เป็นต้น หากรับประทานเป็นประจำก็จะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นและยังเป็นอาหารที่ช่วยลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี เพราะเราสามารถเลือกอาหารในกลุ่มนี้ไปใช้เพื่อเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหาร และเป็นส่วนประกอบของเมนูต่างๆ นอกจากจะช่วยให้ลดน้ำหนักได้แล้ว ยังช่วยเติมสีสันให้อาหารบนจานดูน่ากินมากยิ่งขึ้น
อาหารสีเหลือง
อาหารสีเหลือง อาหารกลุ่มนี้จะอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน จะพบได้ในผักและผลไม้อย่าง ฟักทอง เลมอน กล้วย นมถั่วเหลือง ผงกระหรี่ ขิง และมิโซะ อาหารเหล่านี้ จะมีคุณสมบัติที่ช่วยในเรื่องของการให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เนื่องจากเข้าไปช่วยกระตุ้นให้เลือดมีการทำงานและระบบไหลเวียนให้ทำงานดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในเรื่องของการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงมีส่วนช่วยในเรื่องของการลดน้ำหนัก
อาหารสีแดง
อาหารสีแดงส่วนใหญ่เป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ไร้มัน ปลาแซลมอน มะเขือเทศ ทูน่า กุ้ง แครอท สตรอว์เบอร์รี่ ซึ่งอาหารเหล่านี้จะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์แก่ร่างกายอยู่เป็นจำนวนมาก และยังช่วยส่งเสริมให้อาหารน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น
อาหารสีดำ
อาหารสีดำ แม้จะเป็นสีที่ไม่ค่อยถูกนำมาปรุงแต่งบนจานอาหารมากนัก แต่อาหารในกลุ่มนี้มีประโยชน์ มากมายเลยทีเดียว ซึ่งจะพบได้ใน สาหร่ายทะเล งา บุก ลูกพรุนและเห็ดต่างๆ เป็นกลุ่มอาหารที่มีใยอาหารอยู่ เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการลดอาการท้องผูกได้ และนิยมนำมาเป็นอาหารเพื่อลดน้ำหนักด้วย
แนะนำเมนูอาหารคลีน ลดน้ำหนัก ทำง่ายๆ
อยากน้ำหนักลดเร็ว ลดไว บอกเลยว่าแค่ออกกำลังกายอย่างเดียว อาจจะไม่ได้ช่วยให้ผอมเร็วทันใจ ต้องพึ่งการคุมอาหารร่วมด้วย! จึงจะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งการคุมอาหารอาจจะเริ่มจากการงดของมัน ของทอดก่อนก็ได้ แต่ถ้าอยากจะให้น้ำหนักลดได้ไวภายใน 1 เดือน ขอแนะนำการกินอาหารคลีน เพราะอาหารคลีนจะเน้นการปรุงน้อยๆ เน้นการทอดแบบไม่ใส่น้ำมัน และเน้นอาหารที่มีโปรตีนมากกว่าไขมันด้วย