Face lift ศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
ปัจจุบันการศัลยกรรม ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สร้างความมั่นใจให้กับสาวๆ หากใครกำลังมีความกังวล เรื่องริ้วรอย ความหย่อนคล้อยบนใบหน้า การศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า ถือเป็นหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ วันนี้จะพาไปทำความเข้าใจ และคลายกังวลให้สาวๆ เกี่ยวกับ การศัลยกรรมดึงหน้า หรือ Face lift
ผ่าตัดดึงหน้า (Facelift) คืออะไร?
การผ่าตัดดึงหน้า คือ การทำศัลยกรรมเพื่อยกกระชับกล้ามเนื้อและไขมันใต้ผิวหนัง ให้กลับไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม พร้อม ๆ กับตัดผิวหนังส่วนเกิน หรือ ส่วนที่หย่อนคล้อยออก ซึ่งจะช่วยให้ใบหน้าดูกระชับ และผิวเรียบเนียนมากขึ้น
เทคนิดการผ่าตัดดึงหน้า (Facelift)
การผ่าตัดดึงหน้านั้น สามารถแบ่งได้หลายส่วน เช่น ใบหน้าส่วนบนคือบริเวณหน้าผาก (Forehead) บริเวณหางตาและคิ้ว ใบหน้าส่วนกลาง (Midface) โหนกแก้ม หรือใบหน้าส่วนล่างและคอ (Lower Face and Neck) คำว่า “Facelift” หรือ “Face Lock” จึงเป็นคำเรียกรวม ๆ ของการทำหัตถการนี้ แต่จริง ๆ แล้ว เราสามารถเรียกแยกตามเทคนิคการผ่าตัดและส่วนที่ผ่าตัดได้ด้วย เช่น
- Full – Facelift : การผ่าตัดดึงหน้าทุกส่วนทั้งส่วนบน กลาง ล่าง และลำคอ
- Forehead lift : การผ่าตัดดึงเฉพาะหน้าผาก
- Brow lift : การผ่าตัดยกคิ้ว ทำให้ดวงตาโตขึ้น คิ้วยกขึ้น
- Midface lift : การผ่าตัดดึงใบหน้าส่วนกลาง แก้ม ส่วนล่างของตา
- Neck lift : การผ่าตัดดึงเฉพาะบริเวณลำคอ
การผ่าตัดดึงหน้า (Facelift) ทำบริเวณใดบ้าง? แก้ปัญหาใดบ้าง?
ศัลยกรรมดึงหน้า คือ การผ่าตัดยกกระชับใบหน้า เหมาะกับคนที่มีปัญหาหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอย ไม่ตึงกระชับ ตอบโจทย์สาวรุ่นใหญ่ที่อยากเสริมความมั่นใจ รวมถึงแก้ปัญหาในเรื่องของหนังตาตก ที่จะส่งผลต่อการมองเห็นได้อีกด้วย โดยแพทย์จะทำการประเมินใบหน้า และวิเคราะห์การแก้ไข ผ่าตัดด้วยเทคนิคเฉพาะตัว โดยการตัดส่วนเกิน ที่หย่อนคล้อยออก และทำการเย็บเก็บ เพื่อยกกระชับให้สวยเข้ารูปแน่นอนว่า การศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า ถือเป็น การผ่าตัดตกแต่งที่เล็กมาก แผลหายไว แถมเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนอีกด้วย ศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง จะทำการกำจัดไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ชั้นใต้ผิวหนัง พร้อมทั้งดึงกล้ามเนื้อให้กระชับ ด้วยเทคนิคพิเศษคือเป็นการ “ดึงหน้าในชั้นลึก” คือ ชั้น SMAS (SMAS : Superficial Musculoaponeurotic System) และจะดึงให้พอดีกับโครงสร้างแต่ละคน โดยพิจารณาการรักษาตามความเหมาะสมของคนไข้ไม่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป
การผ่าตัดแบ่งออกเป็น 3 ส่วน บนใบหน้า คือ
- บริเวณใบหน้าส่วนบน (ดึงขมับ หางตา หางคิ้ว และโหนกเเก้ม) Upper Face Lift
- บริเวณใบหน้าส่วนกลาง (ดึงหน้าแก้ม ร่องแก้ม) Middle Face Lift
- บริเวณใบหน้าส่วนล่าง (ยกมุมปากและร่องน้ำหมาก กรอบหน้า) Lower Face Lift
ผ่าตัดดึงหน้า (Facelift) เหมาะกับใคร?
- ผู้มีปัญหา เรื่อง ริ้วรอย ตีนกา , ร่องแก้ม , รอยย่นบนผิวหน้า , หางตาไม่เท่ากัน
- ผู้ที่มีปัญหาหนังตาหย่อนคล้อยมีผิวหนังส่วนเกินบริเวณเปลือกตา
- มีผิวหนังบริเวณ ใบหน้าหย่อนคล้อย
- มีปัญหาแก้มห้อย แก้มไม่เท่ากัน
การผ่าตัดดึงหน้า ส่วนไหน แก้ปัญหาอะไร?
การผ่าตัดดึงหน้า สามารถเลือกทำเฉพาะส่วนที่มีปัญหาได้ เเบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่
- ดึงหน้าผาก (Forehead Lift) – เหมาะสำหรับผู้ที่มีหัวคิ้วย่น มีรอยย่นบนหน้าผาก หางตาตก และคิ้วต่ำลงมา จนรบกวนการมองเห็น ต้องเลิกคิ้วในการมองอยู่ตลอด โดยช่วยยกคิ้วขึ้นไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม ปกติหน้าผากเราจะมีกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง เมื่อเลิกคิ้วเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดริ้วรอยดังกล่าว
- ดึงใบหน้าส่วนบนและหางตา (Upper Facelift/Temporal Lift) – การดึงใบหน้าส่วนนี้ สำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาหางตาตก ตาเศร้า ให้ยกขึ้น โหนกแก้มเริ่มหย่อนคล้อย ในส่วนนี้ จะทำให้ใบหน้าดูยกขึ้น รอยตีนกาและริ้วรอยบริเวณหางตาลดลง ใบหน้าส่วนบนก็จะตึงและดูกระชับขึ้น
- ดึงใบหน้าส่วนกลางเเละส่วนล่าง (Lower Facelift) – แก้ไขปัญหาร่องแก้มที่ลึกให้จางลง แก้ไขร่องน้ำหมาก ทำให้ใบหน้าส่วนล่างตึงและถูกยกขึ้น ให้ใบหน้าเรียวเป็น V-shape
- ดึงคอ (Neck Lift) – ทำให้ลำคอตึงขึ้น ลดความหย่อนคล้อย ลดเหนียงบริเวณคอ เพื่อให้เข้ากับส่วนของใบหน้าที่อ่อนวัยลง
แผลจากการผ่าตัดอยู่ตรงไหนบ้าง?
การดึงหน้าผาก ยกคิ้ว ยกหางตา
จะช่วยลดริ้วรอยบนหน้าผากและหัวคิ้ว เป็นการดึงยกคิ้วขึ้นไปด้วย เพื่อให้หน้าผากตึงกระชับ หรือ ในเคสที่หน้าผากแบนราบ รู้สึกไม่สมมาตรคนไข้ สามารถทำร่วมกับการเติมไขมันหน้าผากได้ เพื่อให้ใบหน้าส่วนบนดูอ่อนเยาว์ขึ้น เทคนิคการผ่าตัดดึงหน้าผาก จะมี 2 เทคนิคด้วยกัน
- เทคนิคที่ 1 ศัลยกรรมดึงหน้าผากเปิดแผลตามแนวไรผม (Hair Line)
เป็นการผ่าตัดดึง ยก รอยย่นบริเวณหน้าผากขึ้นไป และทำการตัดเนื้อเยื่อส่วนเกินของผิวหน้าผากออก จึงทำการเย็บปิดแผลตามแนวไรผม (Hair Line) เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นที่หน้าผากกว้าง และมีความต้องการให้หน้าผากแคบลง
- เทคนิคที่ 2 ศัลยกรรมดึงหน้าผาก (Endotine)
เป็นการผ่าตัดผ่านกล้อง Endoscopic ในชั้น SMAS เป็นชั้นกล้ามเนื้อ แล้วใช้วัสดุ Endotine ซึ่งเป็นวัสดุทางการแพทย์ ไม่เป็นอันตรายต่อผิว สามารถสลายไปเองได้ ไม่มีสิ่งแปลกปลอมตกค้างในผิว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดล็อคผิวหน้าผาก ให้ยกขึ้นโดยที่ไม่ต้องทำการผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อใดๆออก เป็นการผ่าตัดที่คงทนกว่า ไม่กลับมาหย่อนคล้อยเร็ว แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กบริเวณไรผม 3-4 ที่ อยู่เหนือศีรษะบริเวณด้านบนและด้านข้าง
ดึงใบหน้าส่วนบนและหางตา
การดึงใบหน้าส่วนบนและหางตา เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหารอยตีนกา บริเวณหางตา และผู้ที่มีปัญหาคิ้วตกได้ จนมองด้านข้างไม่ชัดเจน เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยสำหรับผู้ที่อายุมาก การศัลยกรรมดึงใบหน้าส่วนบน จะช่วยให้รูปคิ้วโค้งขึ้น หางตาดูเฉี่ยวขึ้น ใบหน้าส่วนบนก็ยกขึ้นด้วย ทำร่วมกับการตัดกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดรอยตีนกา เผยใบหน้าที่ดูเด็กลง อย่างเป็นธรรมชาติ เปิดแผลผ่าตัดที่ไรผม foxy eyes ยกหางตาเป็นการเปิดแผล 2 ที่ตรงขมับบริเวณไรผม แต่ละข้างยาว 3-4 ซม. จากนั้นทำการตัดเลาะกล้ามเนื้อชั้นใต้ ตัดผิวหนังส่วนเกินออก เพื่อดึงยกหางคิ้วหางตาขึ้นในแนวเฉียงตามที่คนไข้ต้องการ พร้อมเย็บยกกระชับกล้ามเนื้อ แผลจะถูกซ่อนตรงแนวที่ไรผมที่ขมับพอดี ในช่วงแรก ๆ อาจจะสังเกตเห็นได้ง่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไปแผลนั้นก็แทบจะมองไม่เห็น
ดึงใบหน้าส่วนกลางและล่าง
เป็นการแก้ปัญหาผิวหน้าที่หย่อนคล้อยบริเวณส่วนกลางและส่วนล่างของใบหน้า ตั้งแต่ผิวเปลือกตาล่าง ริ้วรอยใต้ตา ไปจนถึงร่องแก้ม ซึ่งในส่วนนี้ จะดึงล็อก ยกผิวหนังขึ้นแล้วเย็บยึดด้วยวัสดุพิเศษ เพื่อจะได้เก็บผิวได้ในตำแหน่งที่คนไข้ต้องการ จะเย็บซ่อนแผลที่อยู่ในจุดที่สังเกตเห็นได้ยาก ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องรอยแผลที่จะเกิดบนใบหน้าเทคนิคการผ่าตัดดึงใบหน้าส่วนกลางและล่าง จะมี 2 เทคนิคด้วยกัน
- เทคนิคที่ 1 การผ่าตัดแบบแผลเล็ก (Mini facelift)
เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีความหย่อนคล้อยของร่องแก้มเพียงเล็กน้อย เป็นการเปิดแผลขนาดเล็กทั้ง 2 ข้าง ตรงด้านบนช่วงขมับลงมาถึงขอบหน้าหูส่วนบน เลาะชั้นใต้ผิวหนังลงไปถึงประมาณใบหน้าส่วนล่าง ในชั้นใต้ผิว SMAS และดึงยกเก็บ เย็บในตำแหน่งใหม่ให้ผิวกระชับ พร้อมกับผิวหนังส่วนเกินออก จากนั้นจึงเย็บผิดแผลด้วยเทคนิคซ่อนแผลให้สวยงาม
- เทคนิคที่ 2 การผ่าตัดแบบดึงทั้งหน้า (Full face lift)
เหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยทั้งใบหน้า จะเปิดแผลทั้ง 2 ข้างที่หน้าหูและติ่งหู ผ่าตัดเลาะเนื้อเยื่อดึงผิวหนัง Skin และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังไปจนถึงชั้น SMAS แล้วยึดเนื้อเยื่อด้วย Endotine Midface ดึงให้ตึงจากนั้นถึงตัดผิวหนังส่วนเกินออก จากนั้นเย็บปิดแผลด้วยเทคนิคซ่อนแผลให้สวยงาม
ผ่าตัดดึงคอ
เมื่อผิวหนังและไขมันเกิดการยุบตัวลง จนห้อยย้อยมาถึงคาง ขากรรไกร และลำคอ การกำจัดไขมันส่วนเกินที่หย่อนคล้อยลงมามักจะทำร่วมกับการทำแบบ Full face lift ไปพร้อมกันเลย แต่ก็จะมีคนไข้บางรายที่เคยผ่าตัดส่วนบนไปก่อนแล้ว และต้องการที่จะดึงคอเพิ่ม ก็สามารถทำได้ สำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมอยู่ใต้คาง ทำให้คางหย่อนยาน เกิดเป็นเหนียงหลายชั้น แพทย์จะเปิดแผลใต้คางประมาณ 3 ซม. ทำร่วมกับการดูดไขมันเหนียง เพื่อผลลัพธ์ในการผ่าตัดชัดเจนและดียิ่งขึ้น พร้อมกับผ่าตัดยกกระชับคอซ่อนแผลหลังหูทั้งสองข้าง
เตรียมตัวก่อนการทำศัลยกรรมดึงหน้า
- หากมีโรคประจำตัว หรือมียาที่ต้องใช้ประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการทำศัลยกรรม
- งดรับประทานกลุ่มยาต้านเกร็ดเลือดเเละยาละลายลิ่มเลือด (Aspirin, Warfarin) ก่อนการผ่าตัดประมาณ 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโรคประจำตัวของคนไข้เเต่ละราย
- ในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน จะต้องคุมอาการของโรคเหล่านี้ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ ก่อนการผ่าตัด
- หากมีประวัติการแพ้ยาที่รับประทาน หรือยาชา ยาสลบ ควรเเจ้งให้แพทย์ทราบ
- งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังผ่าตัด เพราะจะทำให้แผลหายช้า
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนและหลังผ่าตัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์
- อาบน้ำสระผม ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดเรียบร้อยก่อนการผ่าตัด
- สำหรับผู้ที่ต้องใช้ยาสลบควรงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
- เตรียมใส่เสื้อผ้าที่หลวมสบาย ถอดใส่ง่าย ในวันที่จะผ่าตัด
ขั้นตอนการผ่าตัด ศัลยกรรมดึงหน้า
เมื่อแพทย์ได้ทำการประเมิน แนวทางการแก้ไขปัญหาแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการผ่าตัด โดยแต่ละคนจะมีการแก้ไขปัญหาที่ไม่เหมือนกัน แล้วแต่เคสและการพิจารณาของแพทย์ แต่ละเคสไม่จำเป็นต้องดึงทั่วทั้งหน้า บางคนอาจจะดึงแค่บางส่วน หรือแก้ปัญหาเฉพาะจุด โดยมีขั้นตอนการผ่าตัดดังนี้
- ฉีดยาชาเฉพาะที่ หรือ ดมยาสลบ สามารถเลือกได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของคนไข้ และดุลยพินิจของแพทย์ สําหรับ ผู้ที่ต้องการวางยาสลบต้องงดน้ำ งดอาหารก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
- การเปิดแผล ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการเปิดแผล บริเวณเหนือหูใกล้กับตรงขมับ เปิดลากมายังบริเวณหลังแนวไรผม ลงมาถึงบริเวณหลังติ่งหู และจากติ่งหูผ่าลากไปยังแนวเส้นผมไปทางด้านหลัง และจุดจบจะตัดเข้าในแนวเส้นผม สังเกตได้ว่า วิธีการเปิดแผล จะถูกซ่อนไว้ตามแนวเส้นผม เพื่อจะได้มีรอยแผลน้อยที่สุด หลังผ่าตัดรอยเปิดแผลจะค่อยๆหายไป โดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
- การเลาะผิวหนัง เมื่อแพทย์ได้ทำการเปิดแผลแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการเลาะผิวหนัง วิธีนี้แพทย์จะดึงเนื้อเยื่อบริเวณผิวหนังชั้นบน หรือที่เรียกว่าชั้นสมาส (SMAS) เย็บขึงให้ตึงเว้นระยะห่างเป็นหย่อมๆ คล้ายการเย็บชายผ้า และทำการตัดผิวหนังส่วนเกินออกไป
- การเย็บปิดแผล หลังจากการตัดส่วนเกินบริเวณใบหน้า แพทย์จะทำการเย็บปิดผิวหนังด้วยไหมเส้นเล็ก การเย็บปิดแผล แพทย์แต่ละคนจะมีเทคนิคเฉพาะตัว โดยการเย็บจะต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพื่อลดการเกิดรอยแผลเป็นบนใบหน้า
- หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น แพทย์จะสั่งให้นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล 1 คืน หลังจากจึงจะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคน จะมีเทคนิคพิเศษเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน ทั้งในเรื่องการเปิดแผล เลาะผิวหนัง รวมถึงการเย็บปิดแผล เพื่อผลลัพธ์ที่ดี หลังการผ่าตัดควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดศัลยกรรม
- หลังผ่าตัดเสร็จให้ประคบเย็น อย่างน้อย 48 – 72 ชั่วโมง ระมัดระวังอย่าให้โดนแผลโดยตรง ควรประคบบริเวณรอบๆแผล เพื่อลดอาการบวมช้ำ หลังจากนั้นประคบต่อเนื่องไปอีก 3 วัน และค่อยเปลี่ยนเป็นประคบเย็นในช่วงตอนกลางคืนประมาณ 1-2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล ห้ามแผลโดนน้ำ หรือ โดนกระแทกบริเวณใบหน้าและลำคอ เป็นเวลา 7 วัน
- นอนศีรษะให้สูงขึ้น เพื่อช่วยลดอาการบวม เป็นเวลาประมาณ 1 อาทิตย์
- ควรทำความสะอาดแผลทุกวัน โดยใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำเกลือซับเบาๆ บริเวณแผล
- ใส่ที่ผ้ารัดหน้าหลัง จากทำศัลยกรรมอย่างน้อย 3-5 วัน เพื่อช่วยพยุงแผลจากภายนอกอีกทาง หลังจากนั้นใช้ผ้ารัด เฉพาะบริเวณกลางคืน ต่อเป็นเวลา 1 เดือน
- งดรับประทานอาหารรสจัด ของหมักดอง อาหารทะเล อาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ วิตามินและอาหารเสริม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่ เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์
- งดกิจกรรม การออกกำลังกายทุกชนิด ที่จะทำให้กระทบกระเทือนแผล ประมาณ 2 อาทิตย์
- ทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- ตัดไหม หลังผ่าตัด 1 สัปดาห์
- หากพบอาการผิดปกติ ควรเข้ามาพบแพทย์ทันที