เสริมจมูก (Rhinoplasty) คืออะไร ?
การเสริมจมูก (Rhinoplasty) คือ การผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อตกแต่งรูปทรงจมูกให้โด่งขึ้น สวยงามขึ้น ด้วยการเสริมวัสดุ เช่น ซิลิโคน (Silicone) , กอร์เท็กซ์ (Gore-tex) , เม็ดพอร์ (Medpor) หรือ กระดูกอ่อน ซึ่งเป็นที่นิยมทั้งในด้านการเสริมความงาม การเสริมโหงวเฮ้ง รวมไปถึงสามารถแก้ไขรูปจมูกที่ผิดปกติ จมูกไม่ได้สัดส่วน ช่วยแก้ไขโครงสร้างจมูกที่มีปัญหาทั้งจากความบกพร่องแต่กำเนิดและอุบัติเหตุได้
ใครที่เหมาะสำหรับการเสริมจมูก
ก่อนทำจมูกเพื่อปรับรูปทรงให้โด่งขึ้น สวยขึ้น หรือ เก็บปีกจมูกให้แคบลง ควรสังเกตตัวเองว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถทำจมูกได้หรือไม่ ดังนี้
- คนไข้ควรมีอายุ 18-20 ปีขึ้นไป เพราะในช่วงนี้จมูกใบหน้าจะเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
- ไม่ได้อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ หรือ ให้นมบุตร
- ไม่แนะนำให้ทำในผู้ที่ใช้ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด มีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน หรือ โรคหลอดเลือดผิดปกติต่าง ๆ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว อาจส่งผลต่อการผ่าตัด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจทำ
- หากเป็นหวัด หรือมีแผลติดเชื้อ ควรรักษาให้หายก่อนเสริมจมูก
ทั้งนี้จะทำจมูกได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ในแต่ละเคส ทางที่ดีก่อนทำคือ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ประเมินและขอคำแนะนำที่เหมาะสม เเพื่อให้เข้ากับแต่ละบุคคล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม เป็นธรรมชาติ ไม่มีปัญหาเบี้ยว เอียง ฯลฯ
เสริมจมูกมีกี่แบบ ? มีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร?
-
การเสริมจมูกแบบเปิด (Open Technique)
เทคนิคการเสริมจมูกแบบเปิด (Open Rhinoplasty) เป็นการเปิดจมูกเข้าไปเพื่อปรับโครงสร้างจมูกโดยตรง ศัลยแพทย์จะเห็นโครงสร้างของกระดูกอ่อนทั้งหมด มองเห็นแนวสันจมูกได้ชัดเจน ปรับแต่งได้สะดวก และทำให้สามารถหลีกเลี่ยงการใช้ซิลิโคนที่ไม่จำเป็น ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ รวมไปถึงสามารถใช้เทคนิคยืดผนังกั้นจมูก ตอกฐานจมูก และบีบเข้ามาเพื่อให้สันจมูกดูเล็กลงได้
แผลผ่าตัดของเทคนิคแบบเปิด จะมีอยู่ทั้งในและนอกจมูก โดยแผลด้านนอกจะอยู่บริเวณกลางจมูกด้านล่าง ตรงระหว่างรูจมูก หลังทำจะเห็นเป็นรอยขีดเล็ก ๆ ส่วนแผลด้านในจะอยู่บริเวณเยื่อบุด้านในโพรงจมูก ซึ่งจะอยู่ด้านซ้ายและขวาของแผลแรก เมื่อเวลาผ่านไปรอยแผลจะค่อย ๆ จางลงจนไม่เห็นเลย
ทั้งนี้การผ่าตัดแบบ Open Technique จะใช้ระยะเวลาทำนานกว่าการเสริมจมูกแบบปิด และศัลยแพทย์ต้องมีความชำนาญในการผ่าตัดแบบโอเพ่น การเสริมจมูกแบบเปิด จึงเหมาะกับคนที่มีโครงสร้างสันจมูกนูน ฮัมพ์สูง จมูกกว้าง ฐานจมูกใหญ่ ไม่ได้สัดส่วน ต้องการเสริมจมูกเป็นทรงหยดน้ำ หรือ จมูกสโลปปลายพุ่ง และสามารถใช้ในกรณีที่มีความผิดปกติของจมูกร่วมด้วย เช่น จมูกสั้นเกินไป จมูกงุ้ม ดั้งจมูกโค้ง โก่ง งอ
ข้อดี
- เหมาะกับการเสริมจมูกทุกเคส
- หมอสามารถเปิดแผลและเห็นโครงสร้างจมูกทั้งหมด
- สามารถแก้ไขตกแต่งจมูกของคนไข้ได้ดีกว่า แก้ไขความผิดปกติจากโครงสร้างจมูกได้
- ตกแต่งปลายจมูกด้วยกระดูกอ่อนกลางจมูก ให้มีลักษณะเป็นหยดน้ำ โดยไม่ต้องใช้การเสริมซิลิโคน
- ลดโอกาสซิลิโคนทะลุ หรือจมูกเบี้ยวในอนาคต
ข้อเสีย
- มีแผลเพิ่มใต้จมูก และอาจมีแผลบริเวณที่เอากระดูกอ่อนมาเพิ่มเช่น ใบหู, ใต้ราวนม, ก้นกบ
- การผ่าตัดซับซ้อนขึ้น หากมีผลแทรกซ้อนการแก้ไขก็จะยุ่งยากขึ้น
- ค่าใช้จ่ายสูง
- ใช้เวลาผ่าตัดนานกว่าเทคนิคการเสริม
แบบปิด
-
การเสริมจมูกแบบปิด (Closed Technique)
เทคนิคการเสริมจมูกแบบปิด (Closed Rhinoplasty) เป็นการเสริมดั้งให้โด่งขึ้นด้วยการเสริมซิลิโคนหรือวัสดุอื่น ๆ ที่คล้ายกัน โดยไม่ต้องการปรับโครงสร้างกระดูกอ่อนของจมูก จึงซับซ้อนน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิด แต่จะได้ทรงจมูกไม่พุ่งเท่า ส่วนมากนิยมใช้กระดูกอ่อนหลังใบหูหรือเนื้อเยื่อไขมัน มารองบริเวณปลายจมูก เพิ่มความหนาของเนื้อเยื่อ ลดปัญหาปลายจมูกทะลุ แผลผ่าตัดของเทคนิคแบบปิดจะอยู่ในโพรงจมูก ใช้ในกรณีที่ไม่มีความผิดปกติอื่น ๆ นอกจากดั้งจมูกแบนเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องดมยาสลบ ใช้เวลาพักฟื้นน้อยกว่าการเสริมจมูกแบบเปิด เนื่องจากการผ่าตัดรบกวนเนื้อเยื่อน้อย และหลังทำจะมองไม่เห็นแผลเป็นจากการผ่าตัด เทคนิคการเสริมจมูกแบบปิด หากคนไข้ที่ไม่มีปัญหาโครงสร้างจมูก สามารถทำการเสริมด้วยซิลิโคนได้เลย และเป็นการผ่าตัดเล็กที่ใช้การฉีดยาชาเฉพาะบริเวณจมูกเท่านั้น
ข้อดี
- เหมาะกับเคสเสริมใหม่หรือเสริมจมูกครั้งแรก และไม่มีปัญหาเรื่องโครงสร้างจมูก
- ไม่ต้องวางยาสลบ พักฟื้นน้อย หลังทำสามารถตรวจเช็กทรงจมูกได้ทันที
- ซ่อนแผลในรูจมูก ไม่เห็นรอยแผล
- ใช้เวลาน้อย เน้นทำดั้งให้โด่งขึ้น
- ราคาถูก
ข้อเสีย
- ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน หรือปัญหาจากโครงสร้างจมูกได้ เช่น จมูกสั้นเชิด จมูกงุ้มมาก
- ไม่สามารถทำทรงให้โด่งพุ่งมาก ๆ ได้ (ขึ้นอยู่กับกำลังของเนื้อเยื่อจมูก)
- ไม่สามารถลดขนาดจมูก สันจมูก ให้เล็กลงได้
- เมื่อเวลาผ่านไป จะมีความเสี่ยงเรื่องจมูกทะลุ เอียง เบี้ยว ได้มากกว่า
“หากคนไข้มีปัญหาจมูกทะลุ ซิลิโคนเอียง เบี้ยว การผ่าตัดแบบ Open ในเคสที่ไม่ได้มีการติดเชื้อ หมอสามารถแก้ไขได้ในครั้งเดียว โดยการผ่าตัดปรับโครงสร้างจากภายใน และจะไม่มีปัญหาจมูกทะลุซ้ำ”
ทรงจมูกที่นิยม สวยเป็นธรรมชาติ
ในกลุ่มคนเอเชีย ลักษณะทางพันธุกรรม มักจะมีฐานจมูกเตี้ย และ ปีกจมูกกว้าง ทรงจมูกที่ได้รับความนิยม คือ การศัลยกรรมจมูกให้โด่งขึ้น และตัดปีกจมูกให้แคบลง
- จมูกทรงหยดน้ำ เป็นการเสริมปลายจมูกให้ยาวขึ้น และคล้อยลงมาเล็กน้อยคล้ายมีหยดน้ำที่ปลายจมูก เหมาะกับคนที่มีเนื้อจมูกพอสมควร
- จมูกทรงสโลปปลายพุ่ง มีลักษณะสโลปตั้งแต่บริเวณหัวตาลงมาที่สันจมูก และทำให้ปลายเชิดขึ้น หน้าจะดูคมเฉี่ยว ดูเด็กลง
- จมูกทรงสโลปปลายหยดน้ำ เป็นการทำทรงสโลปแต่กดปลายให้เป็นหยดน้ำลงมา ทำให้จมูกยาวขึ้น ช่วยเสริมให้หน้าดูหวานขึ้น เหมาะกับคนที่ไม่มีปลายจมูก
- จมูกทรงบาร์บี้ไลน์ เป็นทรงที่นิยมมากในเกาหลี มีลักษณะสันจมูกยกสูงขึ้น และบีบปลายจมูกให้เล็กลง เพิ่มความละมุนให้ใบหน้า
- ทรงจมูกสันสูง ปลายเชิด ทรงนี้เหมาะกับคนที่ต้องการให้สันจมูกโดนเด่น เหมาะกับคนไม่มีดั้ง หรือจมูกแบนมาก ๆ หรือต้องการเสริมโหงวเฮ้ง
นอกจากทรงที่ยกตัวอย่างมา ยังมีทรงจมูกอื่น ๆ อีกเช่น ทรงตั๊กแตน ทรงฮันบก ฯลฯ ทั้งนี้ รูปจมูกเดิม และ ปัญหาของแต่ละคนแตกต่างกัน ควรปรึกษาแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อให้ออกแบบทรงจมูกที่เหมาะสม และเข้ากับใบหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีปัญหาที่ต้องตามแก้ภายหลัง
เลือกทรงจมูกอย่างไร ? ให้เหมาะกับใบหน้า
‘สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงเมื่อต้องเลือกทรงจมูก คือการทำให้จมูกมีความสมดุลกับใบหน้ามากที่สุด’
ดังนั้นนอกจากเทคนิค ประสบการณ์ ความชำนาญของแพทย์ในการผ่าตัด สิ่งทำคัญไม่แพ้กัน คือ ความสามารถในการดีไซน์ทรงจมูกของแพทย์ ที่ควรออกแบบทรงจมูกให้รับกับโครงสร้างใบหน้า
- จมูกควรรับกับหน้าผาก คนที่มีหน้าผากสูงจะสามารถเสริมซิลิโคนสูงได้ จะดูไม่หลอกตา
- จมูกควรรับกับโครงหน้าด้านกว้าง คนที่โหนกแก้มใหญ่ ไม่ควรเสริมซิลิโคนบริเวณกลางจมูกให้สูงมาก เพราะจะไม่รับกับความกว้างของใบหน้า
- จมูกควรรับความยาวของใบหน้า ไรผม-สันจมูก / สันจมูก-ปลายจมูก / ปลายจมูก-คาง เป็น 3 ส่วนที่ควรมีความยาวสมดุลกัน
นอกจากนี้ก่อนเสริมจมูกควรคำนึงถึง Lifestyle ของคนไข้ เนื่องจากเมื่อทำจมูกไปแล้วใบหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ซึ่งหลายคนไม่ค่อยแต่งหน้า หรืออยากให้ดูเป็นธรรมชาติ ควรปรึกษารายละเอียดและพูดคุยเพื่อให้เข้าใจความต้องการตรงกัน
วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูก
-
ซิลิโคน
การเสริมจมูกแบบซิลิโคน คือ ได้รูปทรงที่แน่นอน สามารถปรับให้เข้ากับจมูกได้ทุกรูปแบบ ใช้เวลาพักฟื้นน้อย ราคาไม่สูงมาก ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของซิลิโคนได้ดังนี้
- ซิลิโคนแบบสำเร็จรูป จะขึ้นเป็นทรงมาให้แล้ว มีโอกาสเบี้ยวหรือเอียงน้อย เรียกชื่อตามลักษณะทรงจมูก แต่อาจจะไม่เหมาะกับทุกคน เช่น ซิลิโคนแมนทิส, ซิลิโคนบาร์บี้, ซิลิโคนซินเดอเรลล่า, ซิลิโคนแบบ L-shape
- ซิลิโคนแบบเหลาเอง จะมาเป็นแท่งหรือบล็อกสี่เหลี่ยม แพทย์จะเป็นคนดีไซน์และเหลาทรงให้เข้ากับรูปจมูกแต่ละเคส ต้องอาศัยประสบการณ์ ความชำนาญและความแม่นยำ ตัวซิลิโคนมีลักษณะเรียบลื่น ไม่เป็นขุย และสามารถแบ่งย่อยออกไปอีก 4 ชนิด ตามลักษณะความอ่อน-แข็งของซิลิโคน ได้แก่ แข็ง, แข็งปานกลาง, นุ่ม และนุ่มมาก
วัสดุซิลิโคนที่นำมาเสริมจมูกที่นิยมในปัจจุบัน ได้แก่ ซิลิโคนอเมริกา ซิลิโคนเกาหลี ซิลิโคนญี่ปุ่น ซึ่งต้องผ่าน FDA หรือ อย. ของประเทศผู้ผลิต มีความปลอดภัย ไม่เกิดปฏิกิริยาต่อต้าน (Biocompatibility) ซึ่งรูปแบบการเลือกใช้จะแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมและงบประมาณ
- กระดูกอ่อน
การเสริมจมูกแบบกระดูกอ่อน คือ ช่วยลดความเสี่ยงที่ปลายจมูกจะทะลุในระยะยาว เพราะเป็นการเพิ่มความหนาของผิวหนังบริเวณปลายจมูก ป้องกันไม่ให้ซิลิโคนกระทบกับผิวหนังปลายจมูกโดยตรง ลดการเสียดสี และเป็นวิธีที่ทำให้ปลายจมูกดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น กระดูกอ่อนที่มักใช้เสริมจมูก มาจาก
- กระดูกอ่อนหลังใบหู นิยมใช้มากที่สุด ตัวกระดูกอ่อนจะมีลักษณะโค้งงอเล็กน้อย หลังจากนำกระดูกอ่อนออกมาจากเบ้าในใบหู จะไม่ทำให้ใบหูเปลี่ยนรูป แต่อาจต้องดูแลแผลหลังใบหูเพิ่มขึ้น และต้องงดสระผม 1-2 สัปดาห์
- กระดูกอ่อนผนังกั้นจมูก (Septum) เป็นการใช้เทคนิคผ่าตัดแบบเปิดยืดผนังกั้นจมูก นำกระดูกอ่อน Septum ที่อยู่บริเวณกึ่งกลางรูจมูกออกมาบางส่วน เพื่อปรับตำแหน่งและต่อเสริมจมูกจริงให้ยาวขึ้น วิธีนี้จะทำให้ได้ปลายจมูกพุ่งสวย โดยไม่ต้องมีแผลแบบการใช้กระดูกอ่อนหลังใบหู
- กระดูกอ่อนซี่โครง เป็นวิธีที่แพทย์จะต้องเปิดเอากระดูกซี่โครงอ่อนขนาด 2-5 cm ออกมา 1-2 ซี่ โดยจะมีแผลบริเวณใต้ราวนม ใช้เวลาในการผ่าตัดนาน และต้องใช้ศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง
เสริมจมูก พร้อมตัดปีกจมูก
ลักษณะทางพันธุกรรมทำให้คนเอเชีย มีฐานจมูกเตี้ยและปีกจมูกกว้าง จึงนิยมเสริมดั้งไปพร้อมกับการตัดปีกจมูกกว้าง จมูกบานให้แคบลงในการผ่าตัดครั้งเดียว การลดขนาดปีกจมูก โดยส่วนมากจะแก้ไขเฉพาะส่วนปีกด้านข้าง ซึ่งมีผิวหนังและกล้ามเนื้อเท่านั้น และซ่อนแผลไว้บริเวณขอบของปีกจมูก ซึ่งในการตัดปีกจมูกจะต้องคำนึงถึงความสมดุลกับจมูกส่วนบน และสันจมูก หลังทำจะช่วยให้รูจมูกเล็กลงด้วย
ขั้นตอนการตัดปีกจมูก
- ปรึกษาแพทย์ และวางแผนการผ่าตัดร่วมกัน
- ทำความสะอาดโพรงจมูก และบริเวณที่จะผ่าตัด
- ฉีดยาชา หรือ วางยาสลบ (กรณีใช้เทคนิคผ่าตัดแบบเปิดเพื่อเสริมจมูกด้วย)
- หลังยาชาออกฤกธิ์ เริ่มผ่าตัดเนื้อเยื่อส่วนเกินที่กางออก และ จัดโครงสร้างฐานจมูกใหม่ ใช้เวลาในการผ่าตัด 30-45 นาที (เฉพาะการตัดปีกจมูก)
- เย็บปิดแผล และ นอนพักฟื้นประมาณ 1 ชั่วโมง
- กลับมาติดตามผล และ ตัดไหมหลังจาก 1 สัปดาห์ ตามแพทย์นัด
การเตรียมตัวก่อนเสริมจมูก
- ปรึกษาแพทย์ และ แจ้งข้อมูลสุขภาพอย่างละเอียด เช่น โรคประจำตัว ยาที่รับประทานประจำ ปัญหาเกี่ยวกับฟัน การแพ้ยา แพ้อาหาร
- งดการใช้ยาสมุนไพร ยาบำรุง และวิตามินทุกชนิด ก่อนการผ่าตัด อย่างน้อย 7 วัน เช่น ยาแก้ปวด แอสไพริน วิตามินซี วิตามินดี น้ำมันปลา
- งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 สัปดาห์ เพื่อป้องกันภาวะเนื้อเยื่อขาดเลือดมาเลี้ยง
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง หรือ 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
- งดรับประทานทานอาหารหมักดอง อาหารทะเล เพราะจะส่งผลต่อการอักเสบของแผล
- งดแต่งหน้า งดใส่เครื่องประดับทุกชนิด และควรสระผมก่อนให้เรียบร้อยก่อนผ่าตัด
- งดการทาเล็บมือ , เล็บเท้า และ งดการต่อเล็บทุกชนิด
- งดน้ำและอาหาร ก่อนผ่าตัดตามแพทย์สั่ง ในกรณีผ่าตัดโดยฉีดยาชาเฉพาะจุด ไม่ต้องงดอาหารและน้ำ
ขั้นตอนการเสริมจมูก
- ให้ยาชา หรือ ยานอนหลับ จะขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของการผ่าตัด แพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าจะใช้ยาชาหรือยาชาร่วมกับยากล่อมประสาท เช่น หากใช้เทคนิคการผ่าตัดแบบเปิดจะต้องใช้การวางยานอนหลับโดยวิสัญญีแพทย์ ส่วนการผ่าตัดแบบปิดจะเป็นการฉีดยาชาเฉพาะจุด
- ในกระบวนการผ่าตัดเสริมจมูก แพทย์จะใช้เทคนิคที่แตกต่างกันไปเพื่อแก้ไขตามปัญหาของแต่ละเคส ตั้งแต่การเหลาซิลิโคน การเปิดแผล ปรับโครงสร้าง ตกแต่ง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง
- เย็บปิดแผลผ่าตัด หรือ ในบางกรณีแพทย์อาจให้เข้าเฝือกที่จมูกด้วย ใช้เวลาพักฟื้น 5-7 วัน ระหว่างนี้ คนไข้สามารถดูแลทำความสะอาดแผลได้ด้วยตัวเอง ก่อนนัดมาติดตามผลและตัดไหม
การดูแลตัวเองหลังเสริมจมูก
หลังทำจมูกอาจมีอาการข้างเคียง เช่น ใต้ตาบวม เขียวช้ำ มีเลือดออก บ้วนปากแล้วมีเลือดลงคอ อึดอัดจมูก ตึงบริเวณแผลผ่าตัด ซึ่งควรดูแลตัวเองย่างเคร่งครัดเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงาม ดังนี้
- 1-3 วัน หลังผ่าตัด ควรประคบเย็นด้วยคูลแพ็คบริเวณหน้า โดยเว้นตรงแผลเอาไว้ (สันจมูกด้านซ้ายและขวา สันจมูกตรงกลางด้านบน ระหว่างคิ้ว) เพื่อช่วยเพื่อให้เลือดหยุดไหล และยุบบวมไวขึ้น
- หลัง 3 วัน แผลจะเริ่มสนิทกัน ให้เปลี่ยนมาใช้การประคบอุ่นเพื่อลดรอยเขียว ช้ำ ม่วง
- ห้ามแคะ แกะ เกา หรือ ขยี้บริเวณจมูก
- ควรนอนโดยใช้หมอนรองคอ ให้ศีรษะสูง เพื่อให้เลือดไม่คั่งในโพรงจมูก และ หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ
- หลีกเลี่ยงที่ที่มีฝุ่นละอองมากประมาณ 1 สัปดาห์ ป้องกันการไอ หรือ จาม
- ควรรับประทานอาหารรสอ่อน งดอาหารแข็ง หรือ เหนียว
- งดล้างหน้า เพื่อไม่ให้บาดแผลโดนน้ำอย่างน้อย 3 วัน หลังจากนั้นล้างหน้าได้ตามปกติ
- งดรับประทานอาหารหมักดอง หรือ อาหารที่มีรสเผ็ดจัด ที่ส่งผลต่อการอักเสบของแผล และทำให้แผลหายช้า
- งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และ งดสูบบุหรี่ ในช่วง 1 เดือน หลังทำจมูก เนื่องจากมีผลต่อการสมานแผล
- หากรู้สึกคันบริเวณจมูกให้ใช้คอตตอนบัด หรือ สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดอย่างเบามือ
- หลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาหนัก ๆ การวิ่ง , การว่ายน้ำ , การมีเพศสัมพันธ์ , การสั่งน้ำมูก , การขยี้จมูก , ก้มหน้านาน ๆ และ ยกของหนัก เนื่องจากเนื้อจมูกยังไม่เข้าที่ดี
- หากมีอาการผิดปกติ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที